รอยเตอร์์ - ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) พุ่งเหนือ 1 ล้านคน เป็นที่เรียบร้อยแล้วในวันพฤหัสบดี (2 เม.ย.) ด้วยโรคระบาดใหญ่ยังแพร่เชื้ออย่างหนักหนาสาหัสในสหรัฐฯ ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตยังคงเพิ่่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในอิตาลี และสเปน จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์
เว็บไซต์ติดตามสถานการณ์การระบาดโควิด-19 แบบออนไลน์ ของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ยังพบด้วยว่า ไวรัสโควิด-19 ได้คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกเกิน 51,000 คนแล้วเช่นกัน โดยประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด ได้แก่ อิตาลี ตามมาด้วยสเปน และสหรัฐฯ
ตัวเลขของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ เผยให้เห็นข้อมูลอันน่าตกใจ หลังพบว่า โลกใช้เวลาราวๆ 55 วัน ในการมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ครบ 100,000 คนแรก จากนั้นก็ทะลุหลัก 500,000 คนในวันที่ 76 ก่อนที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะใช้เวลาอีกเพียง 8 วัน นับตั้งแต่นั้นในการแพร่เชื้อสู่มนุษยชาติอีกเท่าตัวจนเกิน 1 ล้านคน
ยอดผู้ติดเชื้อโดยรวมของวันพฤหัสบดี (2 เม.ย.) เพิ่มขึ้นจากหนึ่งวันก่อนหน้านั้น 10% ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่การแพร่เชื้อของโควิด-19 เพิ่มขึ้นในระดับเป็นตัวเลข 2 หลัก นับตั้งแต่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มแพร่ระบาดออกมานอกประเทศจีน
เวลานี้มีประเทศและดินแดนต่างๆ 117 แห่ง รายงานพบผู้ติดเชื้อเกิน 100 เคส และ 50 แห่งมีผู้ติดเชื้อเกิน 1,000 เคส และมีอยู่ 7 ชาติ ที่รายงานพบผู้ติดเชื้อเกิน 50,000 คน ส่วนใหญ่อยู่ในยุโรป
ปัจจุบันอัตราผู้เสียชีวิตทั่วโลกอยู่ในระดับเกินกว่า 5% ของทุกเคสผู้ติดเชื้อที่มีการรายงานอย่างเป็นทางการ โดยสหราชอาณาจักร, สหรัฐฯ และสเปน ต่างรายงานยอดตัวเลขผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
ในเคสผู้ติดเชื้อทั้งหมดของโลก ราว 22% อยู่ในสหรัฐฯ (ราว 238,000 คน) ส่วนอิตาลีและสเปนคิดเป็นราวๆ ชาติละ 10% ขณะที่จีน ชาติที่ไวรัสอุบัติขึ้นเป็นครั้งแรก มีผู้ติดเชื้อคิดเป็น 8% ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดของโลก เป็นหลักฐานชัดเจนว่าศูนย์กลางการแพร่ระบาดได้ย้ายสู่ยุโรปและสหรัฐฯ
ทั้งนี้ หากนับทุกประเทศในยุโรปรวมกัน พวกเขามีจำนวนผู้ติดเชื้อคิดเป็นกว่าครึ่งของผู้ติดเชื้อทั่วโลก และมีผู้เสียชีวิตรวมกันเกินกว่า 70% ของจำนวนเหยื่อทั่วโลก โดยที่หลายประเทศในแถบตอนใต้ของยุโรป ซึ่งเป็นสังคมประชากรสูงวัย กลายเป็นชาติที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดหนักหน่วงที่สุด
