รอยเตอร์/เอเจนซี - รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย ระบุ วันนี้ (31 มี.ค.) ว่า รัฐบาลมีแผนปิดพรมแดนห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ หรือต่อเครื่องบิน โดยจะมีข้อยกเว้นเพียงเล็กน้อย เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งขณะนี้ยอดผู้ติดเชื้อในแดนอิเหนาพุ่งแตะ 1,400 คน และเสียชีวิตแล้ว 122 คน
ประกาศดังกล่าวมีขึ้นเพียง 1 วัน หลังจากที่ประธานาธิบดี โจโค วิโดโด แห่งอินโดนีเซีย ออกมาประกาศแผนคุมเข้มการเคลื่อนย้ายประชากรและการเว้นระยะห่างทางสังคม (social-distancing) ขณะที่มีงานวิจัยเตือนว่า เชื้อโรคโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดทั่วโลก อาจทำให้ประเทศซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในอาเซียน มีผู้เสียชีวิตกว่า 140,000 คน ภายในกลางเดือน พ.ค.
เร็ตโน มาร์ซูดี รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ระบุว่า ชาวต่างชาติที่มีวีซ่าพำนัก หรือผู้ที่ปฏิบัติภารกิจด้านการทูตจะได้รับยกเว้นจากมาตรการควบคุมพรมแดน ซึ่งรัฐบาลเตรียมจะชี้แจงรายละเอียดในวันนี้ (31) ขณะเดียวกัน ก็มีแผนยกระดับคัดกรองพลเมืองที่เดินทางกลับจากต่างประเทศด้วย
“ประธานาธิบดีได้ตัดสินใจแล้วว่า เราจำเป็นต้องเปลี่ยนมาใช้นโยบายที่เข้มงวดยิ่งกว่าเดิม” มาร์ซูดี กล่าว
รัฐมนตรีหญิงผู้นี้ยังระบุไม่ได้ว่ามาตรการคุมเข้มพรมแดนจะเริ่มมีผลบังคับเมื่อใด
ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์เตือนว่า อินโดนีเซียซึ่งมีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับ 4 ของโลก ต้องจำกัดการเดินทางของพลเมืองให้เข้มข้นยิ่งกว่านี้ หลังยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจาก ‘ศูนย์’ เมื่อช่วงต้นเดือน มี.ค. กลายเป็น 1,414 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้วถึง 122 ราย
กระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย ได้สั่งห้ามผู้เดินทางจาก 7 ประเทศยุโรป บวกอิหร่าน, จีน และเกาหลีใต้ เข้าประเทศหรือมาต่อเครื่องบินตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมา ส่วนชาวต่างชาติที่ไม่เข้าเกณฑ์ถูกแบนก็จะต้องมีหนังสือรับรองสถานะทางสุขภาพจากประเทศบ้านเกิด
สำนักงานวางแผนพัฒนาแห่งชาติอินโดนีเซีย (Bappenas) ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (27) ซึ่งระบุว่า รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการแทรกแซงที่เข้มข้นเด็ดเดี่ยว หากจะคุมไม่ให้ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งเกิน 11,000 คน
จากแบบจำลองที่ใช้ในการศึกษาพบว่า หากภาครัฐยังคงใช้มาตรการแทรกแซงในระดับน้อย (mild intervention scenario) อินโดนีเซียจะมีผู้เสียชีวิตมากถึง 144,000 คน จากจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด 1.5 ล้านคน ภายในเดือน พ.ค.