เอเอฟพี - ทรัมป์ตะแบง ประกาศวิกฤตไวรัสในอเมริกาใกล้จบ แถมเรียกร้องให้เร่งยุติการเว้นระยะห่างทางสังคมและการล็อกดาวน์ แม้ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กเปรียบเทียบว่า โรคระบาดใหญ่ครั้งนี้ยังคงลุกลามรวดเร็วไม่ต่างจาก “รถไฟหัวกระสุน” ท่าทีเช่นนี้ของผู้นำทำเนียบขาวทำให้เริ่มมีเสียงวิจารณ์มากขึ้นว่า สิ่งที่อภิมหาเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์ผู้นี้ห่วงมากที่สุดอาจเป็นอาณาจักรธุรกิจทรัมป์ เนื่องจากขณะนี้ทั้งโรงแรมและสนามกอล์ฟอยู่ในสภาพใกล้ร้างและต้องปลดพนักงานกราวรูด
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมากล่าวเมื่อวันอังคาร (24 มี.ค.) ว่า การเว้นระยะห่างทางสังคมทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเสียหายหนัก และเรียกร้องให้รัฐสภาอภิปรายมาตรการพลิกฟื้นเศรษฐกิจครั้งประวัติศาสตร์
ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ฟ็อกซ์ นิวส์ว่า “อเมริกาไม่ได้ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อชัตดาวน์” และมาตรการนี้กำลังทำลายประเทศชาติ ผู้นำสหรัฐฯ ยังเล็งยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ก่อนถึงช่วงเทศกาลอีสเตอร์ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 12 เมษายน โดยอ้างด้วยว่า “ตอนนี้ผมเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้ว”
ขณะนี้ รัฐต่างๆ ในอเมริกาจำนวนมากขึ้นทยอยประกาศมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและกักกันตัวเอง รวมทั้งคำสั่งให้อยู่แต่ในบ้านที่ครอบคลุมประชากรกว่า 1 ใน 3 ของประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในอาการหยุดชะงัก
โดยที่ผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดย อิปโซส/แอกเซียส และเผยแพร่ออกมาเมื่อวันอังคาร (24)พบว่า ชาวอเมริกัน 74% หยุดไปร่วมกิจกรรมที่มีคนจำนวนมาก และ 48% ยกเลิกแผนการเดินทาง
พวกผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพต่างแนะนำว่า มาตรการที่กล่าวข้างต้นเป็นพื้นฐานในการป้องกันการติดเชื้อ เพื่อสกัดไม่ให้ไวรัสโคโรนาระบาดจนไม่สามารถควบคุมได้
ตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 ที่ผ่านมา คณะบริหารสหรัฐฯ ประกาศ “ช่วงชะลอการระบาด 15 วัน” ซึ่งจะสิ้นสุดต้นสัปดาห์หน้า ทว่า ทรัมป์กล่าวชัดเจนเมื่อวันอังคารว่า มาตรการรับมือไวรัสโคโรนาอลังการเกินไปเมื่อเทียบกับสัดส่วนการเสียชีวิต เช่น จากรถยนต์ที่สูงกว่ามาก
“เราไม่เคยเรียกร้องให้บริษัทรถหยุดการผลิตเลย”
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นดูเหมือนทรัมป์จะอ่อนลงระหว่างการแถลงข่าวที่มี แอนโทนี ฟอซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อชื่อดังร่วมอยู่ด้วย โดยบอกว่าจะผ่อนคลายมาตรการรับมือโควิด-19 หากสถานการณ์ดีขึ้นเท่านั้น และจะยกเลิกการจำกัดการเคลื่อนที่ของประชาชนเพียงบางส่วน เช่น เทกซัสและรัฐทางภาคตะวันตกที่ประชากรอาศัยอยู่กระจัดกระจาย
ตัวเลขล่าสุดที่มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์เผยแพร่เมื่อวันอังคาร อเมริกามีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 กว่า 700 คน และยอดผู้ติดเชื้อสะสมเกือบ 54,000 คน สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากจีนและอิตาลี
วันเดียวกัน แอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก เตือนว่า ยอดผู้ติดเชื้อในรัฐยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเปรียบเทียบการระบาดของโควิด-19 เป็น “รถไฟหัวกระสุน”
ขณะเดียวกัน โรคระบาดนี้ยังทำให้การรณรงค์หาเสียงในสหรัฐฯต้องหยุดลงชั่วคราว โดยที่เห็นชัดว่าทรัมป์พยายามเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ด้วยการมุ่งทำให้เศรษฐกิจที่ฟุบลงอย่างรวดเร็วเพราะไวรัสให้กลับฟื้นขึ้นอีกครั้งและพาตัวเองกลับเข้าทำเนียบขาวสมัยสองในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์จึงกระตือรือร้นออกนอกหน้าที่จะยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์
ความพยายามดังกล่าวทำให้หลายคนโจมตีว่า ทรัมป์เห็นความมั่งคั่งสำคัญกว่าความอยู่รอดจากโรคระบาด หรือถึงขั้นมีการตั้งคำถามว่า ที่เร่งรีบยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์เพื่อปกป้องประเทศหรือบริษัทของตัวเองกันแน่
ทั้งนี้กิจการธุรกิจของทรัมป์ซึ่งมีบริษัท ทรัมป์ ออร์กาไนเซชัน เป็นแกนนำนั้น ประกอบด้วยโรงแรม สนามกอล์ฟ และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเวลานี้ต่างได้รับผลกระทบอย่างจังจากโควิด-19 โดยโรงแรม 5 ดาวในอเมริกาและแคนาดาที่มีห้องพักรวมกันกว่า 2,200 ห้องกำลังอยู่ในสภาพว่างเปล่า ขณะที่สนามกอล์ฟในอเมริกา สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์ อาจต้องปิดเร็วๆ นี้ โรงแรมในเครือหลายแห่งยังถูกบีบให้ปลดพนักงานส่วนใหญ่
นอกจากนั้นยังมีคนสงสัยว่า กองทุนช่วยเหลือเศรษฐกิจ 500,000 ล้านดอลลาร์ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะบริหารและรัฐสภาสหรัฐฯนั้น จะถูกผ่องถ่ายไปช่วยเหลือธุรกิจโรงแรมของทรัมป์และอุตสาหกรรมนี้หรือไม่
“สิ่งสำคัญอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในตอนนี้คือ คนอเมริกันต้องได้รู้ว่า ประธานาธิบดีปฏิบัติหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของประเทศชาติหรือเพื่อผลประโยชน์ทางการเงินของตัวเอง” เอลิซาเบธ ไวดรา ประธานกลุ่ม คอนสติติวชันแนล แอกเคาทาบิลิตี้ เซ็นเตอร์ ให้สัมภาษณ์ทิ้งท้าย