เอเจนซีส์ - มหาอำนาจตะวันตกประกาศสงครามกับโควิด-19 พร้อมออกมาตรการปกป้องเศรษฐกิจโลก ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตในอิตาลีในวันเดียวพุ่งทำสถิติ ตรงข้ามกับสถานการณ์ในจีนที่ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศเป็นครั้งแรก นับจากที่โรคร้ายนี้อุบัติขึ้นในเมืองอู่ฮั่นเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา แต่มีผู้ติดเชื้อที่มาจากต่างประเทศ
สถานการณ์การระบาดในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว ยอดรวมผู้ติดเชื้อในวันพุธ (18 มี.ค.) เพิ่มขึ้นกว่า 20,000 คน เป็นเกือบ 219,000 คน และผู้เสียชีวิตเฉียด 9,000 คน
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อวันพุธ (18 มี.ค.) ว่า รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้นำในช่วงสงคราม พร้อมสั่งการให้นำโรงพยาบาลลอยน้ำของกองทัพออกช่วยเหลือผู้ป่วยอเมริกันที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
นายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคล ของเยอรมนี แถลงว่า นับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา เยอรมนีไม่เคยเผชิญความท้าทายที่ต้องพึ่งพาความสามัคคีของประชาชนมากเท่านี้มาก่อน คำแถลงดังกล่าวสะท้อนจุดยืนของประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครงของฝรั่งเศสเมื่อต้นสัปดาห์ที่เปรียบเทียบว่า ประเทศกำลังทำสงครามกับไวรัส และออกคำสั่งให้ประชาชนงดออกจากเคหะสถานโดยไม่จำเป็น
ในวันเดียวกันนั้น อิตาลีรายงานยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 475 คน ซึ่งเป็นสถติสูงสุดในวันเดียว ยอดรวมอยู่ที่เกือบ 3,000 คน หรือกว่า 1 ใน 3 ของทั่วโลก แม้รัฐบาลประกาศชัตดาวน์และยุติการชุมนุมขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นมาตรการที่หลายชาติทั่วโลกหยิบยืมจากจีนมาบังคับใช้ ขณะเดียวกัน ซิลวิโอ บรูซาเฟอร์โร ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแห่งชาติของอิตาลี ย้ำว่า สิ่งสำคัญคืออย่ายอมแพ้
ขณะที่หลายประเทศเป็นอัมพาตจากโรคระบาดและตลาดหุ้นดิ่งไม่หยุด สัปดาห์นี้เหล่าผู้วางนโยบายพากันประกาศมาตรการกู้ฟื้นเศรษฐกิจโลก โดยในวันพุธ ธนาคารกลางยุโรปประกาศแผนซื้อคืนพันธบัตรมูลค่า 817,000 ล้านดอลลาร์ หลังจากออกมาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่เมื่อไม่กี่วันก่อนแต่ไม่สามารถบรรเทาความกังวลในตลาดได้
ทางด้านทรัมป์ลงนามมาตรการช่วยเหลือฉุกเฉินมูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์ ที่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาอย่างง่ายดาย เพื่อให้ประชาชนตรวจหาเชื้อโควิด-19 ฟรี ให้เงินชดเชยการลาป่วยและลางานเพื่อดูแลครอบครัว
ทรัมป์ยังบังคับใช้กฎหมายช่วงสงครามเกาหลีเพื่อให้รัฐบาลสามารถบังคับให้ธุรกิจเซ็นสัญญาเพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์ที่จำเป็น เช่น หน้ากากอนามัย
ธนาคารกลางออสเตรเลียลดดอกเบี้ยลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ถึงกระนั้น มาตรการทางการเงินและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉุกเฉินของนานาชาติในช่วงนี้ไม่สามารถบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจได้
ตลาดหุ้นเอเชียช่วงเช้าวันพฤหัสบดี (19 มี.ค.) ยังคงติดอยู่ในแดนลบ โดยตลาดมะนิลาในช่วงแรกดิ่งลงเกือบ 25% หลังจากปิดทำการมา 2 วัน
หลายประเทศยกระดับมาตรการสกัดไวรัส วันพฤหัสบดี ออสเตรเลียห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ โดยก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน แคนาดาและอเมริกาปิดพรมแดนระหว่างกัน ซึ่งถือเป็นพรมแดนที่ยาวที่สุดในโลก ห้ามการเดินทางที่ไม่จำเป็นนาน 30 วัน
ที่อังกฤษ นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน เปลี่ยนแผนรับมือโควิด-19 ด้วยการปิดโรงเรียนทั่วประเทศนับจากวันศุกร์ (20 มี.ค.) หลังยอดผู้เสียชีวิตพุ่งแตะ 100 คน
สัปดาห์นี้ สหภาพยุโรป (อียู) งดรับนักเดินทางจากภายนอก 30 วัน สมาชิกบางชาติปิดพรมแดน ขณะที่ บาร์ ร้านอาหาร และร้านค้าส่วนใหญ่ปิดให้บริการจนกว่าจะมีคำสั่งเพิ่มเติม ส่วนการประกวดร้องเพลงยูโรวิชั่นและการแข่งขันฟุตบอลระงับหมด
อย่างไรก็ตาม โลกเริ่มมีความหวังจากการที่สถานการณ์การระบาดของจีนสงบลงโดยสิ้นเชิง จีนรายงานในวันพฤหัสฯ ว่า ไม่พบผู้ติดเชื้อภายในประเทศเป็นวันแรกนับจากที่มีการเก็บข้อมูลในเดือนมกราคม ทั้งนี้ ประชาชนราว 56 ล้านคนในมณฑลหูเป่ย ซึ่งมีเมืองหลวง คือ อู่ฮั่น ถูกกักกันโรคนับจากปลายเดือนมกราคม
ปัจจุบัน ทางการจีนเริ่มผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทางในมณฑลนี้ โดยอนุญาตให้ประชาชนที่ทำงานในมณฑลอื่นๆ เดินทางออกจากหูเป่ยได้ ถึงกระนั้น จีนยังพบผู้ติดเชื้อใหม่ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 34 คน สูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ด้วยเหตุนี้จึงมีการออกกฎให้ผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศต้องกักกันตัวในโรงแรมที่กำหนดนาน 14 วัน ส่วนที่ญี่ปุ่น เกาะฮ็อกไกโดยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินที่ประกาศเมื่อเดือนที่แล้ว เนื่องจากมีสัญญาณว่า การระบาดซาลงแล้ว
อย่างไรก็ตาม เกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิกพบผู้ติดเชื้อคนแรก ขณะที่ซับ-ซาฮาราแอฟริกายืนยันผู้เสียชีวิตรายแรกคือ รองประธานสภาอันดับ 1 ของเบอร์กินาฟาโซ สะท้อนว่า การต่อสู้กับโควิด-19 ในพื้นที่อื่นๆ ของโลกเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
ขณะนี้ หลายประเทศในละตินอเมริกาห้ามประชาชนออกจากบ้านในยามวิกาล ขณะที่ชิลีประกาศภาวะมหันตภัย คิวบาและคอสตาริกาพบผู้เสียชีวิตรายแรก
เทดรอส เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (ฮู) เรียกร้องให้นานาชาติร่วมมือกันต่อสู้กับ “ศัตรูของมนุษยชาติ” และเตือนแอฟริกาให้ตื่นตัวและเตรียมพร้อมรับสถานการณ์เลวร้ายที่สุด