เอเอฟพี - องค์การอนามัยโลกในวันอังคาร (17 มี.ค.) เรียกร้องบรรดาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้มาตรการ “เชิงรุก” ในการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 ที่กำลังระบาดอย่างรวดเร็ว พร้อมเตือนมีบางชาติกำลังมุ่งสู่การแพร่เชื้อในชุมชนภายในประเทศนั้นๆ (local transmission)
ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 พุ่งทะยานทั่วภูมิภาคอาเซียนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายประเทศต้องบังคับใช้มาตรการอันน่าตื่นตะลึงต่างๆ นานา ไล่ตั้งแต่ปิดพรมแดนไม่ต้อนรับชาวต่างชาติและกำหนดเคอร์ฟิวยามค่ำคืน ไปจนถึงปิดโรงเรียนและยกเลิกกิจกรรมกีฬาต่างๆ
มีความกังวลว่าระบบสาธารณสุขที่อ่อนแอในหลายชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะไม่สามารถรับมือกับการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ได้ ในเรื่องนี้ พญ.พูนาม เคตราปาล ซิงห์ (Dr.Poonam Khetrapal Singh) ผู้อำนวยการใหญ่ องค์การอนามัยโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “เราจำเป็นต้องยกระดับทุกความพยายามในทันที เพื่อป้องกันไวรัสไม่ให้แพร่กระจายติดผู้คนมากกว่านี้”
“มีคำยืนยันเกี่ยวกับการติดไวรัสแบบเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้มันบ่งชี้ถึงความตื่นตัวและการเฝ้าระวังอย่างได้ผล แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ดึงดูดความสนใจไปยังความจำเป็นที่ต้องดำเนินการเชิงรุกมากกว่าที่เป็นอยู่ และต้องใช้ความพยายามของทั่วทุกภาคส่วนของสังคมเพื่อป้องกันไม่ให้โควิด-19 แพร่ระบาดไปมากกว่านี้” เธอกล่าว “ชัดเจนว่าเราต้องทำมากกว่านี้และลงมือทำอย่างเร่งด่วนเลย”
จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ พบว่า มาเลเซียเป็นชาติที่พบผู้ติดเชื้อมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยจำนวน 673 คน โดยเคสส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมศาสนาอิสลามกิจกรรมหนึ่งซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้วและมีผู้เข้าร่วมเกือบ 20,000 คน
ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้น ส่งผลให้มาเลเซียสั่งปิดพรมแดนไม่ต้อนรับนักเดินทางและห้ามพลเมืองออกนอกประเทศ, จำกัดความเคลื่อนไหวภายใน, ระงับการเรียนการสอนตามโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ และสั่งให้ภาคธุรกิจทั้งหมดปิดทำการ
ซิงห์บอกว่า มาตรการอย่างง่ายๆ อย่างเช่นล้างมือและเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) มีความสำคัญยิ่งในการต่อสู้กับไวัส และสามารถช่วยลดการติดเชื้อได้อย่างมาก