รอยเตอร์ - ไมเคิล บลูมเบิร์ก มหาเศรษฐีอดีตนายกเทศมนตรีนิวยอร์ก ยุติการหาเสียงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันพุธ (4 มี.ค.) พร้อมบอกว่าจะหันไปสนับสนุน โจ ไบเดน เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตลงท้าทายประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของรีพับลิกัน ในศึกเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน
“เส้นทางที่พอจะเป็นไปได้สำหรับถูกเสนอชื่อไม่เหลืออีกต่อไป” บลูมเบิร์กระบุในถ้อยแถลง หลังเปิดตัวได้อย่างน่าผิดหวัง คว้าชัยะชนะได้แค่ในดินแดนอเมริกัน ซามัวเท่านั้น ในการหยั่งเสียงเลือกตั้งเบื้องต้นซึ่งขึ้นพร้อมกัน 14 รัฐในวันอังคาร (3 มี.ค.) หรือที่เรียกว่า “ซูเปอร์ทิวส์เดย์” แม้ทุ่มเงินมหาศาลลงโฆษณาหาเสียงทั่วสหรัฐฯก็ตาม
สำหรับการรับรองไบเดน ทางบลูมเบิร์กกล่าวว่า “ผมจะทำงานเพื่อให้เขาได้เป็นประธานาธิบดีคนถัดไปของสหรัฐฯ”
การถอนตัวของบลูมเบิร์กวัย 78 ปี ถือเป็นการยุติยุทธศาสตร์หาเสียงเลือกตั้งอันหวือหวา ทุ่มงบประมาณมหาศาลในการโฆษณาทางการเมือง หลังจากเขาละเว้นจากการลงชิงชัยใน 4 รัฐแรก และมุ่งเน้นอย่างแรงกล้าต่อศึกหยั่งเสียงเลือกตั้งเบื้องต้น “ซูเปอร์ทิวส์เดย์”
ไบเดน วัย 77 ปี อดีตรองประธานาธิบดี ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายซูเปอร์ทิวส์เดย์ของเขาด้วยการเขี่ยบลูมเบิร์กให้พ้นทาง และรวบรวมเสียงสนับสนุนจากพวกสายกลางเพื่อเปลี่ยนการแข่งขันสู่การชิงชัยแบบตัวต่อตัวกับวุฒิสมาชิก เบอร์นี แซนเดอร์ส ผู้มีแนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตย
บลูมเบิร์ก ได้รับคะแนนโหวตราวๆ 15% เพียงพอที่จะคว้าตัวแทนผู้ลงคะแนน (Delegates) บางส่วนในเทนเนสซี, เทกซัส, โคโลราโด, ยูทาห์, แคลิฟอร์เนีย และอาร์คันซอ
นับตั้งแต่ประกาศเข้าสู่การชิงชัยเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน บลูมเบิร์กทุ่มเงินมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์ในทรัพย์สินที่เขาสร้างเนื้อสร้างตัวจากบริษัทสื่อมวลชนของเขา ในการซื้อโฆษณาหาเสียงทางทีวี และโฆษณาหาเสียงทางดิจิทัล เพื่อหวังดันตัวเองเข้าสู่ตัวเต็งลำดับต้นๆ ของสมรภูมิชิงตันแทนพรรคเดโมแครต
หลังจากเคยให้คำสัญญาว่าเขาสามารถคว่ำ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันได้ในศึกเลือกตั้งวันที่ 3 พฤศจิกายน คะแนนนิยมของเขาในหมู่ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตและผู้มีสิทธิออกเสียงที่มีความเห็นเป็นอิสระในโพลต่างๆ ได้เพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 15% เมื่อครั้งประกาศเข้าสู่การชิงชัย
เขาได้จ้างทีมงานหาเสียงหลายพันคนและยกระดับการเดินสายหาเสียงอันฮึกเหิมทั่วประเทศ โดยมุ่งเน้นไปที่ 14 รัฐที่มีการหยั่งเสียงในวันที่ 3 มีนาคม
อย่างไรก็ตาม ความนิยมของบลูมเบิร์กถูกฉุดรั้งจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อกรณีที่เขาเคยสนับสนุนนโยบายต่างๆซึ่งถูกมองว่าเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ ในนั้นรวมถึงโยบายต่อต้านอาชญากรรม “เรียกหยุดและตรวจค้น (stop-and-frisk)” ซึ่งก่อเกิดการจับกุมพลเมืองอเมริกัน-แอฟริกัน และชาวละตินจำนวนมากอย่างไม่สมเหตุสมผล เช่นเดียวกับคำพูดเหยียดเพศหญิงในอดีตต่างๆ นานา