เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ – สำนักงานด้านสิทธิมนุษยชนประจำสหประชาชาติได้ออกรายงานว่าด้วยรายชื่อธุรกิจจำนวน 112 แห่งที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับการตั้งถิ่นฐานผิดกฎหมายของชาวยิวในเขตเวสต์แบงก์ พบมีชื่อบริษัทชั้นนำเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกรวมถึง Airbnb เอ็กซ์พีเดีย โมโตโรลา ผู้ผลิตอาหารยักษ์ใหญ่ เจนเนอรัล มิลส์ และบริษัทอินโดรามา เวนเจอร์ส พี.แอล.ซี (Indorama Ventures P.C.L.) ซึ่งเป็นปิโตรเคมีและสิ่งทอยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ
อัลญะซีเราะฮ์ สื่อกาตาร์รายงานเมื่อวานนี้(12 ก.พ)ว่า ในแถลงการณ์ที่ออกมาในวันพุธ(12) สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ (UNOHCHR)ได้ชี้ไปถึงความเกี่ยวข้องธุรกิจจำนวน 112 แห่งที่มีความเชื่อจนสามารถสรุปได้ว่า มีความเกี่ยวพันกับการตั้งถิ่นฐานของชาวยิวผิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเป็นบริษัท 94 แห่งอยู่ในอิสราเอล และอีก 18 แห่งซึ่งเป็นบริษัทต่างชาติใน 6 ประเทศ
โดยในรายงานได้มีการระบุว่า บริษัทต่างชาติที่เกี่ยวข้องนั้นอยู่ในสหรัฐฯ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก อังกฤษ และรวมถึงประเทศไทย
สื่อกาตาร์ชี้ว่า มีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ถูกระบุในรายงานว่ามีความเกี่ยวพันได้แก่ Airbnb เอ็กซ์พีเดีย Boogking.com โมโตโรลา ผู้ผลิตอาหารยักษ์ใหญ่ เจนเนอรัล มิลส์ (General Mills)
ส่วนสำหรับไทยพบว่าเป็น บริษัทอินโดรามา เวนเจอร์ส พี.แอล.ซี หรือ Indorama Ventures P.C.L. ซึ่งทาง MGRออนไลน์ พบว่าประเภทของธุรกิจเป็นการผลิตด้านปิโตรเคมี โดยอ้างอิงจากเฟซบุ๊กทางการของบริษัทและมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ
และจากเว็บไซต์ทางการของบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) Indorama Ventures (IVL) indoramaventures.com ซึ่งมีที่ตั้งเดียวกันกับที่ระบุในเฟซบุ๊กของบริษัท Indorama Ventures P.C.L. โดยทางบริษัทกล่าวว่า
“บริษัทสร้างฐานะผู้นำระดับโลกในธุรกิจ PET และเส้นใยโพลีเอสเตอร์รายใหญ่ที่สุดในประเทศ จากนั้น เราได้มีการขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคต่างๆ โดยเข้าซื้อกิจการในทวีปอเมริกาและทวีปยุโรป ทำให้เราเป็นผู้ผลิตสารตั้งต้น PTA รายใหญ่ในอุตสาหกรรมและเป็นผู้ผลิต PET ระดับโลก”
โดยตามรายงานของสหประชาชาติพบว่า บริษัท Indorama Ventures P.C.L. เข้าข่ายเกี่ยวข้องการตั้งถิ่นฐานอิสราเอลผิดกฎหมายในเขตเวสต์แบงก์ โดยถูกระบุว่าเป็นการกระทำกิจกรรม (g) หรือการใช้ทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะน้ำและที่ดินในการทำธุรกิจ รวมไปถึงมีสิ่งปลูกสร้างถาวรตั้งอยู่
ซึ่งตามข้อมูลจากการสัมภาษณ์เมื่อเดือนเมษายน ปี 2018 ของนิตยสารฟ็อบส์ไทยแลนด์และวิดีโอคลิปถูกโพสต์ลงบนเว็บไซต์ทางการของ Indorama Ventures พบว่าผู้ก่อตั้งคือ อาลก โลเฮีย (Aloke Lohia) นักธุรกิจชาวอินเดียที่ตามการสัมภาษณ์ได้เปิดเผยถึงที่มาของบริษัท
โดยรายงานของสื่อธุรกิจ marketscreener.com รายงานเมื่อวันที่ 13 พ.ค 2018 พบว่า บริษัท Indorama Ventures P.C.L. ได้เข้าซื้อกิจการบริษัทด้านผ้าไม่ถักไม่ทอเพื่อทำผ้าอนามัยและผ้าอ้อมสำเร็จรูปสัญชาติอิสราเอลคือ บริษัท Avgol Industries 1953 Ltd ไว้ในปี 2018
และอ้างอิงที่ตั้งโรงงานจากโปรเจกต์ที่ไม่แสวงหาผลกำไร investigate.afsc.or ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ American Friends Service Committee (AFSC) พบว่าบริษัทสัญชาติอิสราเอลแห่งนี้มีโรงงานตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมบาร์คาน( Barkan Industrial Zone) ในเขตตั้งถิ่นฐานของชาวยิวที่เวสต์แบงก์
ในรายงานของสื่อมิดเดิลอีสต์ อาย ได้ระบุว่า บริษัท Indorama Ventures P.C.L. ถูกขึ้นบัญชีดำของสหประชาชาติในฐานะบริษัทแม่
โดยในรายงานของสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติให้บริษัท Avgol Industries 1953 Ltd ขึ้นบัญชีด้วยเช่นกัน โดยระบุว่าอยู่ในอิสราเอล และกระทำกิจกรรมตามข้อ (g) คือ หรือการใช้ทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะน้ำและที่ดินในการทำธุรกิจรวมไปถึงมีสิ่งปลูกสร้างถาวรตั้งอยู่ เป็นความผิดเช่นเดียวกับบริษัทแม่
เดอะการ์เดียนสื่ออังกฤษรายงานว่า ทางสหประชาชาติได้ระบุอย่างชัดเจนว่า รายงานฉบับนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางยุติธรรม และรายชื่อบัญชีบริษัทต่างๆยังไม่มีความเกี่ยวข้องทางกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามการเปิดเผยนี้อาจเป็นแรงผลักดันให้กับกลุ่มสนับสนุนปาเลสไตน์ใช้เพื่อกดดันรัฐบาลชาติต่างๆรวมไปถึงผู้บริโภคให้ใช้การบอยคอตต่อธุรกิจเหล่านี้
ในรายงานของสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติยังได้เปิดช่องให้บริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีสามารถลบชื่อออกไปได้ด้วยการให้ข้อมูลที่ชี้ว่า ไม่มีความเกี่ยวพันกับกิจกรรมตามที่ได้ถูกระบุเอาไว้หรือได้ยุติการกระทำเหล่านี้ไปแล้ว
ด้านข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชน มิเชล บาเชเลต์ ได้ออกมาแถลงว่า “ดิฉันรับรู้ว่าปัญหาได้เกิดขึ้นและจะยังคงมีอยู่ต่อไปอย่างเป็นที่ถกเถียง”
บาเชเลต์ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทำรายงานฉบับนี้ได้แถลงต่อว่า “อย่างไรก็ตามหลังจากกระบวนการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนและครอบคลุม เรามีความรู้สึกพอใจที่รายงานซึ่งอ้างอิงมาจากข้อเท็จจริงนี้ได้สะท้อนถึงการพิจารณาอย่างจริงจังที่มีต่อคำสั่งที่มีความสลับซับซ้อนและคาดไม่ถึง”
สื่ออังกฤษยังรายงานว่า เจ้าหน้าที่ปาเลสไตน์ออกมาแสดงความยินดีต่อการเผยแพร่รายงานฉบับดังกล่าว โดยเอกอัครราชทูตปาเลสไตน์ประจำอังกฤษ ฮิวซัม ซอมล็อต(Husam Zomlot) ได้ออกมาแสดงผ่านทางทวิตเตอร์ว่า “เป็นวันที่ดีสำหรับสันติภาพและกฎหมายระหว่างประเทศและสารที่ไร้กาลเวลาสำหรับผู้ที่ผลักดันเราไปสู่ความยุ่งเหยิงและการไร้กฎเกณฑ์”
ปฎิกริยาจากฝั่งปาเลสไตน์ตรงกันข้ามกับฝั่งเทลอาวีฟอย่างเห็นได้ชัด โดยรัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล อิสราเอล คาตซ์(Israel Katz) ได้ประณามบัญชีดำ 112 ธุรกิจของสหประชาชาติว่า เป็นการสยบที่น่าอับอายต่อแรงกดดันจากประเทศและเหล่าองค์กรที่ต้องการทำร้ายอิสราเอล
ส่วนนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ได้แถลงผ่านทางสถานีวิทยุว่า “จะต่อสู้ต่อสิ่งนี้ด้วยความแข่งแกร่งทั้งหมดของเรา” และคู่แข่งของเนทันยาฮู เบนนีย์ แกนต์ซ(Benny Gantz)ออกมาโจมตีรายงานเช่นเดียวกันว่า “ถือเป็นวันที่มืดมิดสำหรับสิทธิมนุษยชน”โดยชี้ว่าทางสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติไม่อยู่กับความเป็นจริง
