เอเอฟพี – อินโดนีเซีย ระบุว่า พวกเขาจะไม่นำพลเมืองเกือบ 700 คนที่ไปเข้าร่วมกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในตะวันออกกลางกลับประเทศ เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคง แต่เสริมว่า พวกเขายังพิจารณาที่จะนำเด็กๆ กลับมาอยู่
ประเด็นนี้แบ่งแยกประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลกเป็นสองฝ่าย โดยประธานาธิบดี ระบุในสัปดาห์นี้ว่า เขาไม่ต้องการผู้ต้องสงสัยเป็นกลุ่มติดอาวุธและครอบครัวของพวกเขาที่เคยไปซีเรียและประเทศอื่นๆ เพื่อต่อสู้สร้างอาณาจักรคอลิฟะห์ให้กับไอเอส
รัฐมนตรีกิจการความมั่นคง มหาห์ฟุด เอ็มดี กล่าวว่า ชาวอินโดนีเซียราว 689 คน รวมถึงผู้หญิงและเด็ก ในซีเรียจะไม่ได้รับอนุญาตให้กลับประเทศ เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคงในประเทศที่เผชิญการโจมตีจากกลุ่มภักดีไอเอสมาแล้วหลายครั้ง
“เราตัดสินใจว่า รัฐบาลต้องให้ความมั่นใจด้านความปลอดภัยแก่พลเมืองอินโดนีเซีย 267 ล้านคน” รัฐมนตรี ระบุในวันอังคาร (11) หลังประชุมกับประธานาธิบดี โจโค วิโดโด ใกล้กรุงจาการ์ตา
“หากนักรบก่อการร้ายต่างชาติเหล่านี้กลับประเทศ พวกเขาอาจอันตรายยิ่งกว่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่” เขากล่าวเสริม
“รัฐบาลจะพิจารณานำกลุ่มเด็กๆ อายุต่ำกว่า 10 ปีกลับมาเป็นรายกรณี” เขากล่าวเสริม แต่ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม
ผู้วิจารณ์แผนการนี้ ระบุว่า มันเป็นการดีกว่าหากนักรบต่างชาติกลับประเทศและปรับพฤติกรรมของเขา แทนที่จะเสี่ยงให้พวกเขาอาจถูกปลุกปั่นให้สุดโต่งยิ่งกว่าเดิมในต่างประเทศ
“หากพวกเขาไม่ได้รับการดูแลที่ดีจากรัฐบาล มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะถูกใช้เป็นตัวแทนโดยกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ที่อาจคุกคามอินโดนีเซียและประเทศอื่นๆ” เตาฟิค แอนเดรีย ผู้เชี่ยวชาญการก่อการร้าย กล่าว
อินโดนีเซียต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์มานานและประเทศนี้ก็เป็นบ้านของกลุ่มหัวรุนแรงหลายสิบกลุ่มที่ภักดีต่อไอเอสและอุดมการณ์ของพวกเขา
เมื่อปี 2018 มือระเบิดฆ่าตัวตายคนหนึ่งจากกลุ่มสวามิภักดิ์ไอเอสทำการระเบิดตัวเองในโบสถ์หลายแห่งในเมืองสุราบายาของอินโดนีเซีย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน
เมื่อปีที่แล้ว กลุ่มติดอาวุธภักดีไอเอส 2 คนก็พยายามลอบสังหารรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงของอินโดนีเซีย ขณะที่ในเดือนพฤศจิกายน มือระเบิดฆ่าตัวตายคนหนึ่งระเบิดตัวเองที่สถานีตำรวจ ส่งผลให้เจ้าตัวเสียชีวิตและมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 12 คน