รอยเตอร์ - ทีมกฎหมายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ยื่นเอกสารชี้แจงเบื้องต้นต่อวุฒิสภาวานนี้ (20 ม.ค.) โดยปฏิเสธข้อครหาต่างๆ ที่สภาผู้แทนราษฎรใช้เป็นเหตุผลในการลงมติถอดถอนผู้นำสหรัฐฯ พร้อมเรียกร้องให้วุฒิสภาคว่ำญัตติดังกล่าวในทันที
เอกสารชี้แจงความยาว 116 หน้ากระดาษมุ่งหักล้างข้อครหาที่ว่า ทรัมป์ ใช้อำนาจในทางมิชอบ และขัดขวางการทำงานของสภาคองเกรส ซึ่งถือเป็นคำแก้ต่างอย่างครอบคลุมครั้งแรกก่อนที่การไต่สวนของวุฒิสภาจะเริ่มอย่างจริงจังในวันนี้ (21)
ขณะเดียวกัน มิตซ์ แมคคอนเนลล์ แกนนำส.ว.รีพับลิกันในวุฒิสภา ก็ได้เสนอกฎระเบียบซึ่งคาดว่าจะทำให้กระบวนการไต่สวน ทรัมป์ เป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่รับรองว่าจะมีการสอบพยานและหลักฐานใหม่ๆ ด้วยหรือไม่
ทรัมป์ ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่ถูกสภาผู้แทนฯ ลงมติถอดถอน ถูกครหาว่าใช้อำนาจในทางมิชอบด้วยการกดดันรัฐบาลยูเครนให้สอบสวน ‘โจ ไบเดน’ คู่แข่งตัวฉกาจจากพรรคเดโมแครต และยังขัดขวางการทำงานของสภาคองเกรส
ฝ่ายเดโมแครตชี้ว่า ทรัมป์ ระงับความช่วยเหลือทางทหารต่อยูเครนเพื่อกดดันให้ขุดคุ้ยหาความผิดของไบเดน ซึ่งถือเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ นอกจากนี้ยังปฏิเสธที่จะยื่นเอกสารหลักฐานต่างๆ ให้แก่สภาคองเกรส และสั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลปฏิเสธหมายเรียกเข้าให้ปากคำต่อคณะกรรมการไต่สวนของสภาผู้แทนราษฎร
อย่างไรก็ดี ทีมทนาย ทรัมป์ ออกมาแก้ต่างว่า ข้อครหาทั้ง 2 อย่างไม่ถือเป็นความผิดอาญาที่นำไปสู่การถอดถอนประธานาธิบดีได้ และ ทรัมป์ เพียงแต่ใช้สิทธิ์โดยชอบธรรมของประธานาธิบดีในการตัดสินใจเรื่องนโยบายต่างประเทศรวมถึงพิจารณาว่าจะส่งมอบข้อมูลใดให้แก่สภาคองเกรสหรือไม่
เอกสารชี้แจงของ ทรัมป์ กล่าวหาสภาผู้แทนราษฎรว่าไต่สวนผิดพลาดและกระทำการฝ่ายเดียวก่อนจะลงมติถอดถอนเขาเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. นอกจากนี้ยังระบุว่า “ทฤษฎีใหม่ว่าด้วยการใช้อำนาจโดยมิชอบ” ที่ ส.ส.เดโมแครตยกมาอ้างนั้นไม่ใช่ความผิดที่นำไปสู่การถอดถอนได้ และเป็นการท้าทายรัฐธรรมนูญซึ่งกำหนดมาตรฐานเอาไว้ว่า ผู้นำสหรัฐฯ อาจถูกถอดถอนหาก “เป็นกบฏ รับสินบน หรือกระทำความผิดอาญารุนแรงและความผิดอาญาลหุโทษต่างๆ”
ในส่วนของข้อหาขัดขวางสภาคองเกรสนั้น ทนายทรัมป์ชี้ว่าเป็นข้อหาที่ “เลื่อนลอยและอันตราย” และย้ำว่าประธานาธิบดีมีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะปฏิเสธการร้องขอข้อมูลจากสภาคองเกรส
เอกสารฉบับนี้ยังกล่าวหา ส.ส.เดโมแครตว่าใช้กระบวนการที่ไม่เป็นธรรมต่อทรัมป์ และพยายามล้มผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 ตลอดจนสกัดไม่ให้ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีอีกสมัยในเดือน พ.ย. นี้
“พวกเขาจงใจใช้กระบวนการถอดถอนแทรกแซงศึกเลือกตั้งปี 2020... หรือพูดง่ายๆ ก็คือ พรรคเดโมแครตมองข้ามความสำเร็จของประธานาธิบดีในการฟื้นฟูเศรษฐกิจอเมริกันให้กลับมารุ่งเรือง ปรับปรุงกองทัพอเมริกันให้เข้มแข็ง และเผชิญหน้ากับศัตรูของอเมริกาในต่างแดน”
“วุฒิสภาสมควรปฏิเสธบทบัญญัติว่าด้วยการถอดถอน และประกาศให้ประธานาธิบดีพ้นผิดในทันที”
ในประเด็นยูเครน ทนายทรัมป์ยืนยันว่าประธานาธิบดีมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่จะกดดันให้ประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ช่วยตรวจสอบ ไบเดน และบุตรชาย ฮันเตอร์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการต่อต้านทุจริต
อย่างไรก็ตาม สำนักงานความรับผิดชอบรัฐบาล (Government Accountability Office) ซึ่งเป็นหน่วยงานตรวจสอบของสภาคองเกรส ระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ทรัมป์ ได้กระทำความผิดอาญาโดยสั่งระงับเงินช่วยเหลือทางทหารต่อยูเครนเกือบ 400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งต่อมาวงเงินดังกล่าวก็ถูกส่งมอบให้แก่รัฐบาลเคียฟในที่สุด
ทั้งนี้ ยังไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ถูกถอดพ้นตำแหน่งจริงๆ มาก่อนในรอบ 243 ปี โดยประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ซึ่งอื้อฉาวจากคดีวอเตอร์เกตตัดสินใจลาออกเองก่อนที่สภาจะลงมติถอดถอน ส่วนประธานาธิบดี แอนดรูว์ จอห์นสัน และประธานาธิบดี บิล คลินตัน ก็รอดพ้นจากมติถอดถอนในวุฒิสภาทั้งคู่