เอเจนซีส์ – เหยื่อไวรัสปริศนาคล้ายๆ โรคซาร์ส เสียชีวิตเพิ่มเป็น 3 ศพ ขณะที่ผู้ติดเชื้อในจีนมีจำนวนพุ่งพรวด แถมยังเจอที่เมืองอื่นๆ ของแดนมังกรนอกจากอู่ฮั่นเป็นครั้งแรก ไม่เพียงเท่านั้นเกาหลีใต้เป็นประเทศที่สามในเอเชียที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสนี้ และน่าเป็นห่วงว่า สถานการณ์การระบาดอาจรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่าเนื่องจากชาวจีนหลายร้อยล้านคนกำลังจะเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติในเทศกาลตรุษจีนปลายสัปดาห์นี้
โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ที่พบระบาดครั้งแรกเมื่อช่วงสิ้นปี 2019 ในเมืองอู่ฮั่น เมืองใหญ่ทางตอนกลางของจีน ทำให้เกิดความหวั่นวิตกอย่างมากเนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส) ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 650 คนในจีนและฮ่องกงเมื่อปี 2002-2003 ถึงแม้มีอาการรุนแรงน้อยกว่าก็ตาม
อาการเจ็บป่วยเนื่องจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ คือ มีไข้ หายใจลำบาก ซึ่งคล้ายกับโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ทำให้การคัดกรองหาผู้ติดเชื้อซับซ้อนมากขึ้น
อู่ฮั่นมีประชากร 11 ล้านคนและยังเป็นฮับใหญ่ด้านการขนส่ง ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางสัญจรแห่งหนึ่งระหว่างเทศกาลตรุษจีนที่ชาวจีนนับร้อยล้านคนจะออกเดินทางกลับไปเยี่ยมครอบครัวตามที่ต่างๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ
คณะกรรมการสุขภาพเมืองอู่ฮั่นรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตจากไวรัสปริศนานี้รายที่ 3 ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมทั้งยังพบผู้ติดเชื้อใหม่อีกถึง 136 คน
ในวันจันทร์ (20) มีรายงานพบผู้ติดเชื้อนอกเมืองอู่ฮั่นครั้งแรก โดยพบในปักกิ่ง 5 คน, เซินเจิ้นและที่อื่นๆ ในมณฑลกวางตุ้งรวม 15 คน และเซี่ยงไฮ้ 1 คน ทั้งนี้ตามข่าวของสถานีโทรทัศน์ส่วนกลางของจีน (ซีซีทีวี) มีผู้ได้รับการวินิจฉัยว่า ติดเชื้อในจีนทั้งสิ้น 208 คนแล้ว นอกจากนั้นยังมีการกักตัวไว้สังเกตการณ์อีกหลายคน
ขณะนี้ ผู้ติดเชื้อในอู่ฮั่น 170 คนยังได้รับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งรวมถึง 9 คนที่มีอาการรุนแรง และ 25 คนได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว
ทางด้านเกาหลีใต้ยืนยันเมื่อวันจันทร์ว่า พบผู้ติดเชื้อรายแรก เป็นหญิงวัย 35 ปีที่เดินทางจากอู่ฮั่น
ก่อนหน้านี้ไทยและญี่ปุ่นยืนยันพบผู้ติดเชื้อรวม 3 คน ซึ่งทั้งหมดเคยเดินทางไปที่เมืองดังกล่าวของจีน ซึ่งเชื่อว่า เป็นศูนย์กลางการระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่คราวนี้
ถึงแม้ยังไม่มีการยืนยันว่า มีการติดต่อระหว่างคนกับคน แต่เจ้าหน้าที่จีนระบุว่า ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ในเรื่องนี้
ด้านคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนแถลงโดยอ้างอิงข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญว่า สถานการณ์การระบาดในขณะนี้ยังสามารถควบคุมได้ แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า ยังไม่รู้ที่มาและรูปแบบการติดต่อของไวรัสปริศนานี้
ขณะเดียวกัน แม้เชื่อว่า ศูนย์กลางการระบาดของโรคนี้มาจากตลาดอาหารทะเลในอู่ฮั่น แต่ผู้ป่วยบางคนไม่เคยไปยังตลาดดังกล่าว
องค์การอนามัยโลก (ฮู) ทวิตเมื่อวันจันทร์ว่า มีแนวโน้มมากที่สุดว่า สัตว์เป็นต้นกำเนิดของไวรัสชนิดนี้ โดยมีการติดต่อระหว่างคนกับคนเพียงจำกัดระหว่างคนที่ใกล้ชิดกันเท่านั้น
ฮูเสริมว่า การพบผู้ติดเชื้อกลุ่มใหม่ในจีนเป็นผลจากการเพิ่มการค้นหาและตรวจหาเชื้อไวรัสชนิดนี้ในหมู่ผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ
อย่างไรก็ดี นักวิจัยของศูนย์เอ็มอาร์ซีเพื่อการวิเคราะห์โรคติดเชื้อทั่วโลก จากวิทยาลัยอิมพีเรียล คอลเลจในกรงลอนดอน เตือนในรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ (17) ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อในอู่ฮั่นอาจมากกว่า 1,700 คน
ทั้งนี้ ทางการอู่ฮั่นเผยว่า ได้ติดตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดในสนามบิน สถานีรถไฟ และสถานีขนส่งทั่วเมือง โดยผู้โดยสารที่มีไข้จะต้องลงทะเบียน รับหน้ากากป้องกัน และถูกนำตัวไปยังสถาบันการแพทย์
เช่นเดียวกับทางการฮ่องกงที่เพิ่มมาตรการตรวจสอบไวรัสชนิดนี้ตามจุดผ่านแดนต่างๆ ซึ่งรวมถึงการวัดอุณหภูมินักเดินทางจากจีนแผ่นดินใหญ่
นอกจากนั้นนักเดินทางยังถูกคัดกรองในสนามบินบางแห่งของไทยและอเมริกา
สื่อของทางการจีนพยายามคลายความกังวล ขณะที่มีการโจษขานกันอย่างมากบนโซเชียลมีเดียเรื่องไวรัสชนิดนี้ระบาดไปยังเมืองอื่นๆ
บทบรรณาธิการของโกลบัล ไทมส์ ซึ่งอยู่ในเครือของเหรินหมินรึเป้า (พีเพิลส์เดลี่) ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุว่า รัฐบาลต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งหมด และอย่าทำผิดพลาดเหมือนตอนที่โรคซาร์สระบาด ซึ่งมีการปิดบังนานหลายสัปดาห์ กระทั่งมีคนตายมากมายและรัฐบาลจำต้องเปิดเผยข้อมูลที่แท้จริง
ส่วนกระทรวงการต่างประเทศจีนก็แถลงยืนยันวันจันทร์ว่า ปักกิ่งแจ้งเกี่ยวกับไวรัสปริศนานี้ต่อฮูและประเทศอื่นๆ อย่างทันท่วงที
ในวันจันทร์เช่นกัน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ยังได้ออกมาแถลงเรื่องโรคระบาดคราวนี้เป็นครั้งแรก โดยกล่าวว่า จะต้องถือเรื่องการป้องกันชีวิตประชาชนเป็น “ความสำคัญลำดับสูงสุด” และควรต้องมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวในการควบคุมการระบาดของโรคให้ได้ ทั้งนั้ตามรายงานของโทรทัศน์ซีซีทีวี
สีย้ำว่า “การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโรคระบาดนี้อย่างทันกาล และเพิ่มความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างลงลึก” คือสิ่งจำเป็น รวมทั้งต้องทำให้มั่นใจได้ว่าประชาชนจะมี “เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ (เทศกาลตรุษจีน) ที่มีความมั่นคงและสันติสุข” ซีซีทีวีรายงาน