xs
xsm
sm
md
lg

เหลียวหลังดูปี 2019 ปีแห่งความปั่นป่วนผันผวน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


<i>ฆวน กวยโด ผู้นำฝ่ายค้านและประธานสภาของเวเนซุเอลา ประกาศตัวเป็น “รักษาการประธานาธิบดี” ของประเทศในวันที่ 23 มกราคม 2019 ระหว่างการชุมนุมใหญ่ของฝ่ายค้านต่อต้านประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร </i>
เอเอฟพี/เอเจนซีส์ – ปี 2019 ได้เห็นการปะทุของการชุมนุมเดินขบวนประท้วงตามที่ต่างๆ ทั่วโลก เมื่อประชาชนเรียกร้องให้แก้ไขยกเครื่องระบบการเมืองที่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ไปจนถึงการปฏิบัติการเพื่อต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ นอกจากนั้นยังมีเหตุการณ์อันปั่นป่วนผันผวนอย่างอื่นๆ อีก

หลายๆ เหตุการณ์ซึ่งน่าจะถือเป็นหลักหมายสำหรับปีนี้ มีดังนี้:

**ประท้วงทั่วละตินอเมริกา**

วันที่ 23 มกราคม ฆวน กวยโด ผู้นำฝ่ายค้านเวเนซุเอลา ประกาศตัวเป็นประธานาธิบดีชั่วคราว และทำให้วิกฤตเศรษฐกิจ-การเมืองเวเนซุเอลาร้อนระอุยิ่งขึ้น

กวยโดได้รับการยอมรับจากกว่า 50 ประเทศ นำโดยสหรัฐอเมริกา แต่กองทัพเวเนซุเอลายังจงรักภักดีและปกปักษ์ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร อยู่ในตำแหน่งมาจนถึงขณะนี้

กลางเดือนกันยายน เกิดการประท้วงใหญ่ในเฮติหลังน้ำมันขาดแคลน และประชาชนเรียกร้องให้ประธานาธิบดีโจเวเนล มอยส์ ลาออก รายงานระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจากเหตุรุนแรงนี้กว่า 40 คน

การขึ้นค่าตั๋วรถไฟใต้ดินในเมืองหลวงของชิลีเมื่อกลางเดือนตุลาคม ได้จุดชนวนการประท้วงที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 20 คน ก่อนที่จะมีการทำประชามติและเสียงส่วนใหญ่สนับสนุนให้ปฏิรูปการเมือง

โบลิเวียเผชิญการประท้วงนาน 3 สัปดาห์นับจากที่ประธานาธิบดีอิโว มอราเลส อ้างชัยชนะในการเลือกตั้งเพื่อครองตำแหน่งวาระที่ 4 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้นับสิบ และโมราเลสตกลงลาออกในวันที่ 10 พฤศจิกายนก่อนหนีออกนอกประเทศ ขณะที่รัฐบาลชั่วคราวเตรียมจัดการเลือกตั้งใหม่ โดยที่โมราเลสแถลงในเวลาต่อมาว่า เขาถูกรัฐประหารโค่นล้มยึดอำนาจโดยที่มีสหรัฐฯเป็นหัวโจก เพื่อจะได้เข้าถึงแหล่งแร่ “ลิเธียม” อันมหาศาลของโบลิเวีย

เอควาดอร์เป็นอัมพาตเกือบ 2 สัปดาห์จากการประท้วงในเดือนตุลาคม ส่วนโคลอมเบียมีการนัดหยุดงานและการประท้วงต่อต้านรัฐบาลปีกขวาที่เริ่มต้นมาตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน

**ผู้นำไอเอสสิ้นชื่อ**

หลังจากครอบครองพื้นที่กว้างขวางในอิรักจรดซีเรียและสถาปนารัฐอิสลาม (ไอเอส) ขึ้นมาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เหล่านักรบญิฮาดกลุ่มนี้ถูกขับไล่พ้นที่มั่นสุดท้ายในเดือนมีนาคมด้วยฝีมือกองกำลังที่นำโดยกลุ่มเคิร์ด ภายใต้การสนับสนุนอย่างแข็งแรงของสหรัฐฯ

ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศว่า อบู บัคร์ อัล-บักดาดี ผู้นำไอเอส กดระเบิดฆ่าตัวตายหลังจนมุมเมื่อถูกทหารหน่วยรบพิเศษของอเมริที่บุกเข้าจู่โจมถึงแหล่งกบดานในซีเรีย

<i>เครื่องบินโดยสาร โบอิ้ง 737 แมกซ์ 8 ถูกสั่งห้ามขึ้นบิน </i>
**โบอิ้ง แม็กซ์พักยาว**

โศกนาฏกรรมเครื่องบินโดยสารของเอธิโอเปียน แอร์ไลนส์ ตกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม นำไปสู่การระงับการใช้เครื่องบินโบอิ้ง 737 แม็กซ์ทั่วโลก โดย 6 เดือนก่อนหน้านั้น เครื่องบินรุ่นเดียวกันนี้ของไลอ้อน แอร์ แห่งอินโดนีเซีย ประสบชะตากรรมเดียวกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมสองเหตุการณ์ 346 คน

นอกจากนั้นโบอิ้ง ผู้ผลิตเครื่องบินหมายเลขหนึ่งของอเมริกา ยังถูกสอบสวนและฟ้องร้อง รวมถึงถูกบังคับให้ปรับปรุงระบบต่างๆ จากวิกฤตที่ทำให้บริษัทต้องเสียเงินหลายพันล้านดอลลาร์

กลางเดือนธันวาคมโบอิ้งประกาศพักการผลิต 737 แม็กซ์ไม่มีกำหนด ต่อมาในวันที่ 23 ธันวาคม เดนนิส มุยเลนเบิร์ก ถูกบีบให้ออกจากตำแหน่งประธานบริหารเซ่นวิกฤต 737 แม็กซ์

**มหากาพย์เบร็กซิต**

เส้นตายที่อังกฤษจะต้องถอนตัวจากสหภาพยุโรปตามผลการลงประชามติเมื่อปี 2016 ที่เดิมกำหนดไว้ในวันที่ 29 มีนาคม 2019 ได้ถูกเลื่อนถึง 3 ครั้ง เนื่องจากรัฐสภาอังกฤษไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับเงื่อนไขการถอนตัวที่เทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ไปเจรจาไว้กับบรัสเซลส์ และกระทั่งข้อตกลงรอบสองที่บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีคนต่อมาและคนปัจจุบัน ไปต่อรองกับอียูมาอีกรอบหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม หลังจากพรรคอนุรักษนิยมของจอห์นสันชนะการเลือกตั้งทั่วไปในอังกฤษเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ข้อตกลงเบร็กซิตของเขาก็ได้รับการสนับสนุนจากสภาสามัญชน และเขาเตรียมนำเข้าโหวตรอบสุดท้ายในวันที่ 9 มกราคมเพื่อให้อังกฤษออกจากอียูในวันที่ 31 มกราคม 2020

<i>มหาวิหารน็อทร์ดาม ในกรุงปารีส ขณะถูกพระเพลิงเผาผลาญเมื่อวันที่ 15 เมษายน </i>
**ไฟไหม้มหาวิหารน็อทร์ดาม**

วันที่ 15 เมษายนเกิดเหตุไฟไหม้ใหญ่ที่เผาทำลายยอดแหลมและหลังคาของมหาวิหารน็อทร์ดามอันเป็นที่รักของปารีส อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ดับเพลิงสามารถรักษาโครงสร้างอาคารยุคโกธิกนี้ไว้ได้ เช่นเดียวกับงานศิลปะและสมบัติล้ำค่าอีกหลายชิ้น

เหตุการณ์นี้ทำให้คนทั่วโลกร่วมบริจาคเพื่อบูรณะมหาวิหารน็อทร์ดามรวมเป็นเงินทั้งสิ้นเกือบ 1,000 ล้านยูโร (1,100 ล้านดอลลาร์) และถือเป็นครั้งแรกนับจากปี 1803 ที่น็อทร์ดามไม่มีส่วนร่วมในพิธีมิสซาฉลองเทศกาลคริสต์มาส

**อิหร่านแผลงฤทธิ์**

วันที่ 8 พฤษภาคม เตหะรานประกาศขั้นตอนแรกในการถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 หรือหนึ่งปีพอดิบพอดีหลังจากที่อเมริกาฉีกข้อตกลงดังกล่าวและฟื้นมาตรการแซงก์ชั่นอิหร่าน

หลายเดือนต่อมา อิหร่านกลับไปพัฒนาส่วนประกอบโครงการนิวเคลียร์ที่ระงับไป ซึ่งรวมถึงการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม

สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้นเมื่อวอชิงตันกล่าวหาเตหะรานโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันหลายครั้งในอ่าวเปอร์เซียในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม

วันที่ 14 กันยายน อิหร่านถูกกล่าวหาอีกครั้ง หลังจากโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ของซาอุดีอาระเบียถูกกบฏฮูตีในเยเมนโจมตี ซึ่งแม้ให้การสนับสนุนกบฏกลุ่มนี้ แต่เตหะรานยืนยันว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีดังกล่าว รวมถึงการโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันก่อนหน้านั้น

ทั้งนี้ ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เตหะรานจัดเก็บยูเรเนียมเสริมสมรรถนะและน้ำมวลหนักเกินระดับที่ได้รับอนุญาตตามข้อตกลงนิวเคลียร์ รวมทั้งยังปรับปรุงเครื่องหมุนเหวี่ยงที่มีอยู่เดิม

**ฮ่องกงระเบิด**

วันที่ 9 มิถุนายนคือวันเริ่มต้นวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดของฮ่องกง นับจากที่อังกฤษส่งมอบเกาะแห่งนี้คืนให้จีนในปี 1997 โดยมีการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยแทบไม่เว้นแต่ละวันจนกระทั่งถึงช่วงเทศกาลความสุขส่งท้ายปีขณะนี้

การประท้วงเริ่มแรกถูกปลุกเร้าจากความพยายามของรัฐบาลในการผ่านกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นการต่อต้านการปกครองของปักกิ่ง และเพรียกหาค่านิยมประชาธิปไตยตะวันตก

กระแสการประท้วงยังไม่มีท่าทีจืดจางลง แม้สร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจของฮ่องกงมากขึ้นเรื่อยๆ

**เดือนที่ร้อนที่สุด**

อเมริกาและหลายประเทศในอียูพร้อมใจประกาศว่า อุณหภูมิในเดือนกรกฎาคมพุ่งกระฉูดที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา

อุณหภูมิในในยุโรปและขั้วโลกเหนือพุ่งขึ้นทำสถิติ ต่อมาในเดือนสิงหาคมธารน้ำแข็งในไอซ์แลนด์ละลายไม่เหลือเป็นครั้งแรกจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ที่ป่าแอมะซอนในบราซิลและออสเตรเลียเกิดไฟป่าครั้งใหญ่ ขณะที่เวนิสจมน้ำแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบหลายทศวรรษ

สภาพอากาศรุนแรงกระตุ้นความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและนำไปสู่การรณรงค์แก้ปัญหาที่ริเริ่มโดยเกรตา ทุนเบิร์ก เด็กสาววัย 16 ปีจากสวีเดน ที่กลายเป็นกระแสตื่นตัวทั่วโลก

<i>ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นประมุขสหรัฐฯคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ ที่ถูกเข้ากระบวนการไต่สวนพิจารณาถอดถอนออกจากตำแหน่ง </i>
**ถอดถอนทรัมป์**

วันที่ 24 กันยายน สมาชิกเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรเริ่มการสอบสวนเพื่อถอดถอนทรัมป์ หลังมีผู้รองเรียนว่า ประมุขทำเนียบขาวกดดันผู้นำยูเครนให้สอบสวนโจ ไบเดน คู่แข่งทางการเมืองในศึกเลือกตั้งปี 2020

เดือนธันวาคม สภาล่างที่เดโมแครตครองเสียงข้างมากโหวตรับรองข้อกล่าวหาทรัมป์ลุแก่อำนาจและขัดขวางการสอบสวนของสภา อย่างไรก็ตาม ไม่มีแนวโน้มว่า กระบวนการถอดถอนจะผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาที่ควบคุมโดยรีพับลิกันซึ่งคาดว่า จะเริ่มการไต่สวนในเดือนมกราคมปีหน้า

**ดัดนิสัยบิ๊กไฮเทค**

วันที่ 24 กรกฎาคม ผู้คุมกฎสหรัฐฯ สั่งปรับเฟซบุ๊กสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 5,000 ล้านดอลลาร์ ข้อหาละเมิดการปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการครอบงำของยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียแห่งนี้ รวมถึงบิ๊กไฮเทคอย่างแอปเปิล, แอมะซอน และกูเกิล

บรรดาบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำเหล่านี้ที่ถูกวิจารณ์ว่า ล้มเหลวในการปกป้องผู้บริโภค รวมทั้งยังมีปัญหาภาษีและโฆษณา อาจถูกสอบสวน ปรับ และแม้แต่เฉือนกิจการ

<i>ผู้ประท้วงชาวฝรั่งเศสเข้าร่วมการเดินขบวนที่ใกล้ๆ สถานีรถไฟแห่งหนึ่งในกรุงปารีส เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม โดยเป็นส่วนหนึ่งของการประท้วงต่อต้านนโยบายยกเครื่องระบบบำนาญของรัฐบาล </i>
**วิกฤตทางสังคมในฝรั่งเศส**

ถึงแม้ “ขบวนการเสื้อกั๊กเหลือง” ในฝรั่งเศส มุ่งต่อต้านนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ซึ่งปะทุขึ้นตอนปลายปี 2018 จะฝ่อลงไปในตอนต้นปี 2019 ทว่าวิกฤตทางสังคมของแดนน้ำหอมก็ใช่ว่าจะคลี่คลาย

โดยเฉพาะช่วงใกล้สิ้นปี รัฐบาลฝรั่งเศสเผชิญหน้ากับแรงงานในอุตสาหกรรมขนส่งนับจากวันที่ 5 ที่ผ่านมาจนถึงสัปดาห์ส่งท้ายปี จากความไม่พอใจแผนปฏิรูประบบบำนาญของทางการ ซึ่งทำให้การเดินทางช่วงคริสต์มาสชุลมุนวุ่นวายอย่างยิ่ง

พนักงานของเอสเอ็นซีเอฟและอาร์เอทีพี บริษัทการรถไฟและขนส่งสาธารณะ ผละงานประท้วงแผนปฏิรูประบบบำนาญ ซึ่งจะมีการรวบยอดแผนบำนาญ 42 ระบบเป็นหนึ่งเดียว และทำให้ลูกจ้างรัฐบางส่วนสูญเสียสิทธิพิเศษ รวมทั้งยังกำหนดการปลดเกษียณเร็วขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น