เอเจนซีส์ – สมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ประกาศข้อกล่าวหาทรัมป์ในวันอังคาร (10 ธ.ค.) ซึ่งจะทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีอเมริกันคนที่ 3 ที่ถูกสภาฟ้องร้องเพื่อดำเนินการถอดถอนออกจากตำแหน่ง ขณะที่เจ้าตัวยืนยันคำเดิมว่า ตัวเองเป็นเหยื่อล่าแม่มด
เกือบเป็นที่แน่นอนแล้วว่า สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ที่พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมาก จะลงมติเพื่อดำเนินการถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ออกจากตำแหน่ง โดยอย่างเร็วที่สุดน่าจะเป็นในสัปดาห์หน้า และจากนั้นก็จะส่งต่อให้วุฒิสภาที่ควบคุมโดยพรรครีพับลิกัน ดำเนินการไต่สวนและลงมติในช่วงต้นปีหน้า หรือหลังจากการหยั่งเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบไพรมารีเริ่มต้นขึ้นในรัฐไอโอวาและนิวแฮมป์เชียร์ไม่นาน
กระนั้น ความพยายามที่จะขับทรัมป์ออกจากทำเนียบขาวนี้ยังคงยากที่จะประสบความสำเร็จ เนื่องจากต้องมีวุฒิสมาชิกรีพับลิกันอย่างน้อย 20 คนโหวตสนับสนุนการถอดถอน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่า จะมีวุฒิสมาชิกคนใดของรีพับลิกันแปรพักตร์
ในวันอังคาร (10) ส.ว.มิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำรีพับลิกันในสภาสูง แถลงว่า วุฒิสภาอาจไม่ดำเนินการสอบสวนเต็มรูปแบบ แต่เลือกลงมติหลังจากที่สมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาล่างและทีมกฎหมายของทรัมป์แถลงเบิกความ ซึ่งเท่ากับเป็นการขัดเจตนารมณ์ทรัมป์ที่ต้องการให้สภาสูงเปิดการพิจารณาเต็มขั้น โดยมีการเบิกตัวพยานให้ปากคำ
ทั้งนี้ ข้อกล่าวหาเพื่อถอดถอนทรัมป์ที่คณะกรรมาธิการการยุติธรรมของสภาล่างประกาศเมื่อวันอังคาร มี 2 ข้อหาด้วยกันคือ ทรยศประเทศชาติด้วยการใช้อำนาจโดยมิชอบเพื่อกดดันให้ยูเครนเปิดการสอบสวนคู่แข่งทางการเมืองของตน และข้อหาที่สองคือ ขัดขวางการสอบสวนกรณีอื้อฉาวนี้ของรัฐสภา
เจอร์โรลด์ แนดเลอร์ ประธานคณะกรรมาธิการการยุติธรรมชุดนี้ ซึ่งเป็น ส.ส.พรรคเดโมแครต ให้สัมภาษณ์ว่า เดโมแครตจำเป็นต้องดำเนินการถอดถอนเนื่องจากทรัมป์เป็นภัยต่อรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ รวมถึงเพื่อความมั่นคงของชาติ และความสมบูรณ์ของการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้า และเสริมว่า คณะกรรมาธิการของเขาจะเริ่มดำเนินการกระบวนการนี้โดยเร็วที่สุดในวันพุธ (11) ก่อนที่จะส่งให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติกันทั้งสภาอย่างเป็นทางการต่อไป
ด้านสเตฟานี กริชแฮม โฆษกหญิงของทำเนียบขาว ออกมาแถลงในทำนองเดิม นั่นคือกล่าวหาเดโมแครตพยายามฝ่ายเดียวอย่างไร้เหตุผล เพื่อทำลายชัยชนะอย่างน่าประหลาดใจของทรัมป์ในการเลือกตั้งปี 2016
ขณะที่ทรัมป์อ้างว่า ตนเป็นเหยื่อการล่าแม่มดของเดโมแครต
หากสภาล่างลงมติให้ดำเนินการถอดถอน ทรัมป์จะเป็นผู้นำอเมริกันคนที่ 3 ที่ถูกสภาฟ้องร้องเพื่อถอดถอนออกจากตำแหน่ง
ทั้งนี้ ปี 1998 บิลล์ คลินตัน ประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ถูกยื่นถอดถอนฐานให้การเท็จเกี่ยวกับความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับเจ้าหน้าที่ฝึกงานในทำเนียบขาว แต่รอดพ้นจากข้อกล่าวหาในการลงมติของวุฒิสภา
ปี 1868 แอนดรูว์ จอห์นสัน ประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ถูกยื่นถอดถอดแต่สภาสูงลงมติว่า ไม่มีความผิด
สำหรับ ริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน ได้ลาออกจากตำแหน่งในปี 1974 ก่อนที่จะถูกดำเนินการถอดถอนจากการพัวพันในคดีอื้อฉาววอเตอร์เกต
ในกรณีของทรัมป์ ทางพรรคเดโมแครตเดินเกมอย่างรวดเร็วนับจากเปิดการสอบสวนเมื่อปลายเดือนกันยายน หลังได้รับการร้องเรียนจากผู้เปิดโปงเกี่ยวกับการสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ทรัมป์ขอให้ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน สอบสวนอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่เป็นตัวเก็งผู้สมัครลงเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้าของพรรคเดโมแครต
ข้อกล่าวหาใช้อำนาจโดยมิชอบนั้น กล่าวหาทรัมป์ใช้ความช่วยเหลือด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ มูลค่าเกือบ 400 ล้านดอลลาร์ และความเป็นไปได้ในการเชิญผู้นำยูเครนเข้าพบที่ทำเนียบขาว เพื่อโน้มน้าวให้ยูเครนประกาศการสอบสวนไบเดน รวมทั้งสอบสวนเรื่องที่ว่า ยูเครนแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016 ไม่ใช่รัสเซีย โดยเรื่องหลังนี้ถูกฝ่ายต่างๆ ร้องยี้ว่าเป็นเพียงทฤษฎีสมคบคิดที่ขาดหลักฐานรองรับ ทว่าทรัมป์ยังคงพยายามประโคมสนับสนุน
ส่วนอีกข้อกล่าวหานั้น กล่าวหาทรัมป์ท้าทายและขัดขวางการสอบสวนของสภาล่างเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวยูเครน และสำทับว่า หากทรัมป์ยังอยู่ในตำแหน่งจะเป็นภัยต่อรัฐธรรมนูญของอเมริกา
ทว่า รีพับลิกันแย้งว่า ทรัมป์ไม่ได้กระทำการไม่เหมาะสมระหว่างคุยโทรศัพท์กับเซเลนสกี รวมทั้งไม่มีหลักฐานโดยตรงว่า ทรัมป์ระงับความช่วยเหลือยูเครนหรือเสนอให้ผู้นำยูเครนเข้าพบที่ทำเนียบขาวเพื่อแลกเปลี่ยนกับการประกาศสอบสวนไบเดน
แอดัม ชิฟฟ์ ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองสภาล่างจากเดโมแครต กล่าวว่า ทางพรรคไม่มีทางเลือกอื่น เนื่องจากหลักฐานการกระทำผิดของทรัมป์แน่นหนาจนไม่อาจโต้เถียงได้
ทั้งนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นคนอเมริกันล่าสุดที่จัดทำโดยรอยเตอร์/อิปซอสพบว่า 44% สนับสนุนการถอดถอน และ 42% คัดค้าน ขณะที่ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตราว 3 ใน 4 เห็นด้วยกับการถอดถอน ส่วนผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันที่เห็นด้วยมีไม่ถึง 1 ใน 10