เอเจนซีส์ – แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิกาสอบสวนการถอดถอนสหรัฐฯว่า เจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานบริหารงบประมาณสหรัฐฯประจำทำเนียบขาว 2 คนลาออกจากปัญหาเงินช่วยยูเครนถูกแช่ชั่วคราว
หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานเมื่อวานนี้(26 พ.ย)ว่า ในเอกสารบันทึกการสอบสวนถอดถอนประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ถูกเผยแพร่ออกมาในวันอังคาร(26) พบว่า เจ้าหน้าที่สำนักงานบริหารงบประมาณสหรัฐฯประจำทำเนียบขาว OMB มาร์ค แซนดี( Mark Sandy) ซึ่งเป็นคนเดียวที่ยอมมาให้การได้เปิดเผยโดยที่ไม่ระบุชื่อผู้ถูกเกี่ยวข้องว่า
มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของสำนักงานที่ทำงานในแผนกกฎหมายนั้นมีความเห็นขัดแย้งเกี่ยวกับความช่วยเหลือทางความมั่นคงยูเครนนั้นถูกระงับไว้ได้ชั่วคราว โดยได้อ้างอิงไปถึงกฎหมาย Impoundment Control Act ซึ่งจะจำกัดความสามารถของฝ่ายบริหารในการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจทางงบประมาณที่ทางสภาคองเกรสได้มีมติเห็นชอบแล้ว
แซนดีมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยรองผู้อำนวยการด้านโครงการความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ได้เข้าให้การในวันที่ 16 พ.ยที่ผ่านมา และการให้ข้อมูลของเขาได้เปิดเผยถึงกระบวนการภายในทำเนียบขาวที่ทำให้เกิดการปิดกั้นเงินช่วยเหลือยูเครน
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวคนอื่นที่รวมไปถึงผู้บังคับบัญชาระดับที่สูงกว่าแซนดีประจำสำนักงานงบประมาณสหรัฐฯที่ได้รับการแต่งตั้งทางการเมืองนั้นต่างพากันท้าทายคำสั่งเรียกตัวขึ้นให้การของสภาคองเกรสด้วยการปฎิเสธที่จะเข้าให้การ
แซนดีถูกถามอย่างเจาะจงว่า เจ้าหน้าที่ซึ่งทำงานให้ OMB ด้านกฎหมายนั้นลาออกนั้น อย่างน้อยน่าจะมีสาเหตุมาจากความวิตกของพวกเขาเกี่ยวกับการสั่งระงับงบช่วยเหลือยูเครนทางความมั่นคงหรือไม่
และทำให้แซนดีตอบกลับมาว่า “ใช่ในแง่ของกระบวนการ มีบางส่วน”
นอกจากนี้แซนดียังเปิดเผยต่อว่า มีเจ้าหน้าที่อีกคนที่ได้ลาออกไปในเดือนกันยายนได้แสดงความรู้สึกวิตกถึงความไม่เข้าใจของบุคคลผู้นี้ในเหตุผลที่เงินช่วยเหลือได้ถูกระงับไว้
วอชิงตันโพสต์ชี้ว่า ความเคลื่อนไหวนี้แสดงให้เห็นถึงกระบวนการสอบสวนถอดถอนที่มีความก้าวหน้าที่ไปไกลกว่าการพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการด้านข่าวกรองสหรัฐฯประจำสภาล่างสหรัฐฯในเดือนนี้ที่กระบวนการจะนำไปสู่การลงมติถอดถอนอย่างเป็นทางการ
ซึ่งในจดหมายจำนวน 13 หน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการด้านกระบวนการทางยุติธรรมประจำสภาล่างสหรัฐฯ เจอร์โรลด์ แนดเลอร์( Jerrold Nadler) ส่งให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ให้เวลา โดนัลด์ ทรัมป์ ไปจนถึงวันที่ 1 ธ.คนี้ในการตัดสินใจว่า เขาจะตัดสินใจเข้าร่วมในการรับฟังการพิจารณาของสภาคองเกรสหรือไม่
คณะกรรมาธิการของแนดเลอร์มีอำนาจในการร่างกฎหมายถอดถอนทรัมป์
ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯทั้งที่กำลังปฎิบัติหน้าที่หรือที่ลาออกไปต่างให้การว่า มีความวิตกถึงการตัดสินใจของทำเนียบขาวในการแช่แข็งงบช่วยเหลือยูเครน ซึ่งมีบางส่วนเปิดเผยว่า ต่างเกรงว่าทรัมป์จะพยายามกดดันรัฐบาลยูเครนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของเขาเอง
แต่ทรัมป์ออกมาปฎิเสธทั้งหมดว่าไม่ได้ทำผิดและยังประณามการสอบสวนการถอดถอน
วอชิงตันโพสต์กล่าวว่า การให้การของแซนดีถือเป็นการยืนยันในทางสาธารณะเป็นครั้งแรกถึงความขัดแย้งภายในของสำนักงานบริหารงบประมาณสหรัฐฯในเรื่องการจัดการเงินช่วยเหลือยูเครนและส่งผลทำให้เกิดการลาออกของเจ้าหน้าที่ตามมาหลังจากนั้น
ซึ่งในรายงานบันทึกที่เปิดเผยเมื่อวานนี้(26) แซนดีกล่าวว่าเขาได้แสดงความวิตกในหน่วยงานว่าการแช่แข็งงบช่วยเหลือยูเครนนั้นอาจจะไม่เป็นไปตามกฎหมาย
“ผมได้อ้างอิงไปถึงกฎหมาย Impoundment Control Act และกล่าวว่า ทางเราต้องประเมินไปพร้อมกับคำแนะนำของที่ปรึกษาก่อนดำเนินการ” โดยเขาได้กล่าวอ้างไปถึงคำสนทนากับผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งทางการเมือง
แต่ในท้ายที่สุด ไมค์ ดัฟฟีย์(Mike Duffey) หัวหน้าที่ได้รับการแต่งตั้งทางการเมืองของเขา ได้เข้ามาเป็นผู้มีอำนาจจัดการกระบวนการอนุมัติเอกสารที่ได้ระงับเงินช่วยเหลือยูเครน
โดยแซนดีได้ให้การต่อคณะกรรมาธิการสภาคองเกรสว่า ในเวลานั้นดัฟฟีย์ไม่ได้ให้ความสนใจต่อกระบวนการอนุมัติการจัดสรรแต่อย่างใด
แซนดีกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายของเขาพากันประหลาดใจและพากันวิตกเกี่ยวกับอำนาจการอนุมัติถูกนำออกไปจากเขา และเขาไม่ได้ตระหนักว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน
แซนดีให้การว่า ดัฟฟีย์อธิบายให้เขาฟังว่า เขาต้องการที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับโครงการและบัญชีที่ OMB มากกว่านี้ แต่ตัวแซนดีคิดว่า น่าจะมีหนทางอื่นที่ดีกว่านี้ แต่อย่างไรก็ตาม แซนดีให้การกับสภาว่า เขาเชื่อในคำอธิบายของดัฟฟีย์
หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานว่า ดัฟฟีย์ได้ท้าทายคำสั่งเรียกตัวเข้าให้การสภาคองเกรส
โดยในรายงานที่ทางสำนักงานบริหารงบประมาณสหรัฐฯประจำทำเนียบขาวยื่นให้กับสภาคองเกรส พบว่ามีความผิดปกติในกระบวนการ รวมไปถึงการอนุญาตให้ดัฟฟีย์เข้ามาเป็นผู้จัดการกระบวนการอนุมัติการแช่แข็งงบยูเครนของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯร่วมเกือบ 400 ล้านดอลลาร์ที่ได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรสแล้ว
พบว่าดัฟฟีย์ได้เข้ามาจัดการอนุมัติงบประมาณในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม เกิดขึ้นหลังจากแซนดีได้แสดงความวิตกกังวลออกไป และการอนุมัติงบล่าช้านั้นถือเป็นการจำกัดความสามารถของทางสำนักงานในการบรืหารงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรสภายในสิ้นปีงบดุล
ซึ่งความเคลื่อนไหวหลังนั้นจะถือเป็นการละเมิดต่อกฎหมาย Impoundment Control Act ปี 1974 ที่ถูกให้ผ่านมาเพื่อตอบโต้ต่อการกระทำของอดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน หนังสือพิมพ์สหรัฐฯรายงาน