เอเจนซีส์ – สมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีญี่ปุ่น เสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครช่วงบ่ายวันอาทิตย์ (10 พ.ย.) จากพระราชวังอิมพีเรียลไปยังพระราชวังอากาซากะ รวมระยะทาง 4.6 กิโลเมตร ท่ามกลางความปลื้มปีติของเหล่าพสกนิกรที่เฝ้าฯ รอรับเสด็จตลอดสองข้างทาง
สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะอ และสมเด็จจักรพรรดินีมาซาโกะ ประทับบนรถยนต์เปิดประทุน ทรงโบกพระหัตถ์และแย้มพระสรวลให้แก่ประชาชนที่ไปเฝ้ารอชมขบวนเสด็จฯ เลียบพระนครครั้งแรกของยุคเรวะ
รถยนต์พระที่นั่งที่ใช้ในครั้งนี้คือโตโยต้า เซนจูรี่ ซึ่งเป็นรถซีดานไฮบริดที่ผลิตขึ้นมาเพื่อโอกาสนี้โดยเฉพาะ โดยทั้งสองพระองค์ซึ่งทรงปรากฏพระองค์ในฉลองพระองค์แบบตะวันตก เสด็จประทับในรถยนต์พระที่นั่งเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น.
สำนักการสังคีตของสำนักพระราชวังอิมพีเรียลบรรเลงเพลงมาร์ชที่เพิ่งประพันธ์ขึ้นใหม่สำหรับโอกาสนี้ ขณะที่ขบวนรถพระที่นั่งเคลื่อนออกจากพระราชวังด้วยความเร็ว 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นำขบวนโดยจักรยานยนต์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (เอ็มพีดี) และรถพระที่นั่งคันที่ 2 มีมกุฎราชกุมารอากิชิโนะ และเจ้าหญิงคิโกะ มกุฎราชกุมารี ประทับอยู่
ในขบวนรถพระที่นั่งประกอบด้วยรถยนต์ทั้งหมด 46 คัน รวมถึงรถยนต์ที่มีโยชิฮิเดะ ซูกะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี, นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ โดยสารอยู่ รวมถึงรถของหน่วยรักษาความปลอดภัย
กองเกียรติยศของกองกำลังป้องกันตนเองภาคพื้นดินของญี่ปุ่นที่รออยู่ที่สะพานนิจูบาชิ ยิงสลุตขณะที่ขบวนรถพระที่นั่งเคลื่อนออกจากพระราชวังอิมพีเรียลเพื่อไปยังถนนสายต่างๆ และผ่านสถานที่สำคัญ อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคารรัฐสภา ฯลฯ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดโดยใช้กำลังตำรวจนับพันนาย
ขณะเดียวกัน ประชาชนจำนวนมากไปเฝ้ารอรับเสด็จสองข้างทางถนนอาโอยามะ-โดริ และต่างโบกมือและธงชาติอย่างปลื้มปิติขณะขบวนรถพระที่นั่งเคลื่อนผ่าน โดยการเสด็จเลียบพระนครจนถึงพระราชวังอากาซากะ ซึ่งเป็นที่ประทับของพระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินี ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
เดิมทีนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมแผนจัดพิธีเสด็จฯ เลียบพระนครในวันที่ 22 ตุลาคม วันเดียวกับวันฉลองพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แต่สืบเนื่องจากความเสียหายรุนแรงทั่วประเทศจากไต้ฝุ่นฮากิบิส รัฐบาลจึงตัดสินใจเลื่อนพิธีนี้มาเป็นวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
สำหรับพระราชพิธีเสด็จขึ้นประทับบนพระราชบัลลังก์ดอกเบญจมาศ หมายถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ 22 ที่ผ่านมานั้น จัดขึ้นท่ามกลางพระราชอาคันตุกะราว 2,000 คน จาก 190 ประเทศ และองค์กรทั่วโลก