ฟ็อกซ์นิวส์/เดลิไวร์ - ดิ๊ก เดอร์บิน วุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตจากรัฐอิลลินอยส์ เปรียบเทียบกรณีเด็ก 2,300 คนที่ถูกแยกจากพ่อแม่ผู้อพยพหลังลักลอบข้ามชายแดนสหรัฐฯ กับเหตุการณ์ 13 นักเตะและโค้ชทีมหมูป่าที่ติดอยู่ในถ้ำทางภาคเหนือของไทย เพื่อโจมตีนโยบายอันเป็นที่ถกเถียงของของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
“ขอส่งใจและสวดภาวนาให้เด็กๆในไทยที่ติดอยู่ในถ้ำ” เดอร์บินกล่าวในรายการ “มีต เดอะ เพรส” ของสำนักข่าวเอ็นบีซี เมื่อวันอาทิตย์ (8 ก.ค.) “ผมขอส่งใจและสวดภาวนาเช่นกัน ให้เด็กๆ ทารกและเด็กแบเบาะหลายพันคนที่ถูกแยกจากครอบครัวโดยรัฐบาลทรัมป์ภายใต้นโยบายอดทนเป็นศูนย์” เขากล่าว “พวกเขาติดอยู่ในอุโมงค์ระบบราชการด้วยเช่นกัน ดังนั้นจงอย่าลืมพวกเขา”
ไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามีเด็กจำนวนมากแค่ไหนที่ถูกแยกจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองภายใต้นโยบายอดทนเป็นศูนย์ หรือมีจำนวนเท่าใดที่ได้กลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว ขณะที่เจ้าหน้าที่ในรัฐบาลทรัมป์เคยระบุว่ามีเด็ก 2,342 คน ถูกแยกจากผู้ปกครอง 2,206 คน ระหว่างวันที่ 5 พฤษภาคม ถึง 9 มิถุนายน ก่อนที่ ทรัมป์ จะสั่งหยุดใช้มาตรการดังกล่าวในวันที่ 20 มิถุนายน
เดอร์บิน ยังกล่าวหานโยบายกักกันตัวเด็กๆผู้อพยพและแยกพวกเขาจะผู้ปกครองว่าเป็นการจับตัวประกัน “สิ่งที่เราเห็นในกระบวนการนี้ก็คือ บังคับนำตัวเด็กๆ ออกห่างจากผู้ปกครองตรงชายแดน นำตัวพวกเขาขึ้นเรือล่องอยู่กลางทะเลของระบบราชการ ที่พ่อแม่ไม่มีวันหาตัวพวกเขาพบ หากคุณอยากพาตัวเด็กไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล สิ่งแรกที่ต้องทำคือใส่สายรัดที่ข้อมือเพื่อกันไม่ให้พลัดหลงในโรงพยาบาล”
“มันแสดงให้เห็นถึงความป่าเถื่อนและไร้ประสิทธิภาพในเวลาเดียวกัน ตอนนี้ขึ้นอยู่กับศาลในซานดิเอโก ที่จะบังคับใช้คำสั่ง เพื่อให้เด็กๆ อายุต่ำกว่า 5 ปีได้กลับสู่อ้อมอกพ่อแม่อีกครั้ง” เขากล่าว
ดานา ซาบรอว์ ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯในเมืองซานดิเอโก ระบุในคำพิพากษาคดีความที่เกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องผู้อพยพเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ว่าห้ามบังคับใช้คำสั่งแยกลูกผู้อพยพที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายออกจากพ่อแม่ และจัดการให้ครอบครัวที่พลัดพรากได้พบกันภายใน 30 วัน หรือเพียง 14 วันหากเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ
ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ ระบุว่า รัฐบาลไม่ได้เตรียมการรับมือกับผลกระทบที่จะตามมาจากนโยบายความอดทนเป็นศูนย์ของทรัมป์ ซึ่งสั่งให้ทางการดำเนินคดีกับผู้ที่หลบหนีเข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย โดยต้องแยกลูกๆ ออกจากพ่อแม่ผู้อพยพ
นอกจากนี้ ผู้พิพากษาให้เหตุผลด้วยว่า มาตรการดังกล่าวไม่ได้ระบุถึงการสื่อสารระหว่างหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการกักขังผู้อพยพ กับหน่วยงานที่ดูแลเด็กๆ หรือมีการเตรียมพร้อมสำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่างพ่อแม่และเด็กๆ ที่ถูกแยกออกจากกัน อีกทั้งยังไม่มีแผนการใดๆ ที่จะทำให้ครอบครัวที่ถูกแยกจากกันได้กลับมารวมกันเลย
