รอยเตอร์ - ศาลสูงสุดของสหรัฐฯในวันอังคาร (26 มิ.ย.) มอบชัยชนะครั้งใหญ่ที่สุดหนหนึ่งในฐานะประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ หลังพิพากษายืนตามคำสั่งห้ามการเดินทางของผู้นำรายนี้ที่เล็งเป้าหมายเล่นงานหลายประเทศมุสลิมและปฏิเสธเสียงโต้แย้งที่ว่ามันเป็นตัวแทนของการเลือกปฏิบัติทางศาสนาซึ่งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ศาลสูงสุดลงมติ 5-4 ยุติการต่อสู้อันดุเดือดในศาลต่อคำถามว่าที่นโยบายดังกล่าวซึ่งเทียบเท่ากับการแบนชาวมุสลิมนั้นชอบธรรมตามกฎหมายหรือไม่ หลังจากก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ขัดขวางคำสั่งห้ามเดินทางของทรัมป์ที่แถลงเมื่อเดือนกันยายน เช่นเดียวกับอีก 2 เวอร์ชันก่อนหน้านี้ ในการยื่นคัดค้านทางกฎหมายโดยรัฐฮาวายและรัฐอื่นๆ
คำพิพากษาของศาลสูงสุดระบุว่าฝ่ายคัดค้านไม่สามารถแสดงให้เห็นว่าคำสั่งแบนละเมิดกฎหมายคนเข้าเมืองอเมริกาหรือบทบัญญัติเพิ่มเติมในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ที่ห้ามรัฐบาลเลือกที่มักรักที่ชังทางศาสนา
ทรัมป์ เขียนทวิตเตอร์ขานรับอย่างรวดเร็ว ระบุว่า “ศาลสูงสุดพิพากษายืนตามคำสั่งห้ามเดินทางของทรัมป์ ว้าว!”
ทั้งนี้ คำพิพากษาถือเป็นการยืนยันถึงอำนาจในการใช้ดุลพินิจอันกว้างขวางของประธานาธิบดีว่าใครควรได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าสหรัฐฯ และมันหมายความว่าคำสั่งแบนในปัจจุบันยังมีผลบังคับใช้ และเปิดโอกาสให้ทรัมป์ เพิ่มเติมรายชื่อประเทศเข้าไปในบัญชีดำ ในขณะที่ ทรัมป์ เคยบอกว่านโยบายนี้มีความจำเป็นเพื่อปกป้องอเมริกาจากการโจมตีของพวกนักรบอิสลามิสต์
ในคำสั่งปัจจุบันที่ประกาศเมื่อเดือนกันยายน ได้ห้ามพลเมืองเกือบทั้งหมดจากอิหร่าน, ลิเบีย, โซมาเลีย, ซีเรีย และเยเมน เดินทางเข้าสหรัฐฯ แต่ต่อมาศาลสูงสุดอนุญาตให้คำสั่งห้ามดังกล่าวมีผลบังคับใช้เพียงบางส่วนในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ระหว่างรอการพิจารณาการยื่นคัดค้านทางกฎหมาย
จอห์น โรเบิร์ตส์ ประธานศาลสูงสุดบอกว่ามาตรการของทรัมป์ ในการระงับไม่ให้บุคคลที่ถูกจำแนกเดินทางเข้าประเทศ “อยู่ภายในขอบเขตอำนาจพิเศษของประธานาธิบดีและสามารถใช้ได้โดยประธานาธิบดีรายอื่นๆ เช่นกัน”
พวกที่ยื่นคัดค้านทางกฎหมายโต้แย้งว่านโยบายดังกล่าวมีแรงจูงใจจากความเกลียดชังของทรัมป์ที่มีต่อชาวมุสลิม และเรียกร้องให้ศาลนำเอาความเห็นยั่วยุปลุกปั่นของเขาระหว่างการหาเสียงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี 2016 เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาด้วย หลังจาก ทรัมป์ เคยพูดตอนเป็นผู้สมัคร เรียกร้องให้ “ปิดตายไม่ให้ชาวมุสลิมเดินทางเข้าสหรัฐฯ โดยสิ้นเชิง”