รอยเตอร์ - ทำเนียบขาวระบุวานนี้ (12 มี.ค.) ว่าการประชุมซัมมิตครั้งแรกระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กับผู้นำคิม จองอึน แห่งเกาหลีเหนือจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนหากโสมแดงรักษาคำพูด ขณะที่ล่าสุดยังไม่มีท่าทีตอบสนองใดๆ จากฝ่ายเกาหลีเหนือหลังจากที่ ทรัมป์ รับคำเชิญ
คณะผู้แทนเกาหลีใต้ซึ่งไปเยือนเปียงยางเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ระบุว่า ผู้นำคิมได้แสดงความปรารถนาที่จะพบกับ ทรัมป์ และประธานาธิบดีมุน แจอิน แห่งเกาหลีใต้ เพื่อหารือเงื่อนไขในการปลดอาวุธนิวเคลียร์
สื่อเกาหลีเหนือประโคมข่าวการไปเยือนของคณะผู้แทนโสมขาวก็จริง แต่กลับไม่พูดถึงรายละเอียดของการหารือ
ซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาว ระบุว่า “เราคาดหวังเต็มร้อยว่ามันจะเกิดขึ้น” หลังผู้สื่อข่าวตั้งคำถามว่า การนิ่งเงียบของเกาหลีเหนือหมายความว่าแผนประชุมซัมมิตระหว่าง ทรัมป์ และ คิม มีสิทธิ์จะล่มหรือไม่
“มีการยื่นข้อเสนอมา และทางเราก็ตอบรับ เกาหลีเหนือได้ให้คำมั่นสัญญาหลายอย่าง และเราหวังว่าพวกเขาจะปฏิบัติตามที่พูด เพื่อให้การประชุมเกิดขึ้นตามที่วางแผนไว้”
ก่อนหน้านั้น เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ออกมาชี้แจงว่าเกาหลีเหนืออาจต้องการเวลาคิดทบทวนอย่างรอบคอบก่อนจะแถลงจุดยืน ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน กล่าวว่า อยากจะได้ยินคำตอบโดยตรงจากเปียงยางมากกว่า
ทิลเลอร์สัน ซึ่งอยู่ระหว่างเยือนไนจีเรียระบุด้วยว่า เกาหลีเหนือและสหรัฐฯ จำเป็นต้องตกลงกันในเรื่องขอบเขตการหารือ รวมถึงสถานที่พบปะซึ่งควรจะมีความ “เป็นกลาง”
“ทุกอย่างยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น เรายังไม่ได้ยินคำตอบโดยตรงใดๆ ทั้งสิ้นจากเกาหลีเหนือ แต่หวังว่าคงจะได้รับ”
สัปดาห์ที่แล้ว ผู้นำสหรัฐฯ ทำให้ทั่วโลกตะลึงงันด้วยการตอบตกลงจัดประชุมซัมมิตกับ คิม จองอึน เป็นครั้งแรก ซึ่งรัฐบาลเกาหลีใต้ระบุว่าน่าจะเกิดขึ้นราวๆ สิ้นเดือน พ.ค. หลังการประชุมซัมมิตระหว่างผู้นำ คิม และประธานาธิบดี มุน ในช่วงปลายเดือน เม.ย.
การตัดสินใจของ ทรัมป์ มีขึ้นหลังจากคณะผู้แทนเกาหลีใต้ซึ่งเดินทางไปพบเขาที่ทำเนียบขาวยืนยันว่า ผู้นำ คิม แสดงเจตนารมณ์ที่จะปลดอาวุธนิวเคลียร์ ตลอดจนงดเว้นจากการทดลองนิวเคลียร์และขีปนาวุธ
ในบทสัมภาษณ์ซึ่งออกอากาศช่วงค่ำวันจันทร์ (12) ตามเวลาในสหรัฐฯ ผู้สื่อข่าวได้ถามรองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ว่ามีความเป็นไปได้จริงหรือที่เกาหลีเหนือจะยอมปลดอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่ง เพนซ์ ก็ตอบว่า “เราคงจะได้เห็นกัน อย่างที่ท่านประธานาธิบดีพูดเสมอ”
อย่างไรก็ดี เพนซ์ยอมรับว่า การที่โสมแดงรับปากจะหยุดทดสอบนิวเคลียร์และขีปนาวุธโดยไม่คัดค้านการซ้อมรบระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีใต้นั้น ถือเป็น "ความคืบหน้าสำคัญ” อันเป็นผลจากนโยบายแข็งกร้าวของ ทรัมป์
“ท่านได้ระดมมาตรการกดดันเกาหลีเหนืออย่างหนักทั้งในเชิงเศรษฐกิจและการทูต และการฝ่าทางตันครั้งนี้... ซึ่งเราหวังว่ามันจะใช่... ก็เป็นผลมาจากบทบาทผู้นำเข้มแข็งซึ่งประธานาธิบดีได้แสดงบนเวทีโลก” เพนซ์ ระบุ
เอช. อาร์. แม็กมาสเตอร์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ได้กล่าวสรุปต่อผู้แทนคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่นครนิวยอร์กเมื่อวานนี้ (12) ว่า “เราต่างเห็นพ้องกันว่านี่คือโอกาสที่ดี แต่เราก็ยังมุ่งมั่นที่จะใช้มาตรการกดดันขั้นสูงสุด จนกว่าถ้อยคำ (ของเกาหลีเหนือ) จะสอดคล้องกับการกระทำ และนำไปสู่การปลดอาวุธนิวเคลียร์ที่แท้จริง”
โช แตยุล เอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ประจำยูเอ็น ที่เข้าฟังการแถลงสรุปของ แมคมาสเตอร์ ยอมรับว่า การจัดประชุมซัมมิตระหว่าง ทรัมป์ และ คิม ถือเป็น “โอกาสครั้งหนึ่งในชีวิต”
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีใต้เดินทางไปจีนเมื่อวานนี้ (12) เพื่อแจ้งความคืบหน้าต่อประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งผู้นำจีนก็ได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความอดทน
“ทุกฝ่ายควรมีความอดทนและตั้งใจจริง ใช้ความเฉลียวฉลาดทางการเมืองเผชิญหน้าและขจัดปัญหาหรือการแทรกแซงใดๆ อย่างเหมาะสม เพื่อฟื้นฟูกระบวนการเจรจา” สื่อรัฐบาลจีนอ้างถ้อยคำที่ สี พูดกับ ชุง อุยยอง หัวหน้าสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติเกาหลีใต้