รอยเตอร์ - สหรัฐฯ เผชิญวิกฤต “ชัตดาวน์” ปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางอีกครั้ง หลังสมาชิกพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันซึ่งมีความเห็นแตกแยกกันในประเด็นผู้อพยพไม่สามารถเจรจาผ่านร่างงบประมาณได้สำเร็จ จนกระทั่งผ่านพ้นเส้นตายในเวลา 24.00 น.ของวันศุกร์ (19 ม.ค.)
วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้มีมติคัดค้านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวซึ่งจะขยายวงเงินอุดหนุนหน่วยงานของรัฐไปจนถึงวันที่ 16 ก.พ. โดยการผ่านร่างกฎหมายจำเป็นต้องได้เสียงสนับสนุนขั้นต่ำ 60 เสียงจากสมาชิกวุฒิสภา 100 คน แต่ปรากฏว่ามีผู้ยกมือสนับสนุนเพียง 50 เสียง
ก่อนหน้านี้ สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวด้วยคะแนนโหวต 230 ต่อ 197 เสียงไปเมื่อวันพฤหัสบดี (18) และพรรครีพับลิกันจำเป็นต้องได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ว.เดโมแครตอย่างน้อย 10 คนเพื่อให้ร่างกฎหมายผ่านวุฒิสภา แต่ผลปรากฏว่ามี ส.ว.เดโมแครตยกมือสนับสนุนเพียงแค่ 5 คน ขณะที่ ส.ว.รีพับลิกันอีก 5 คนโหวตคัดค้าน
ส.ว.เดโมแครตส่วนใหญ่โหวตคัดค้านร่างกฎหมายนี้ หลังพยายามต่อรองให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาตรการคุ้มครองเยาวชนที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมายหรือ “ดรีมเมอร์” แต่ไม่สำเร็จ
การเจรจาที่ล้มเหลวในนาทีสุดท้ายระหว่าง มิตช์ แมคคอนเนลล์ แกนนำ ส.ว.รีพับลิกันเสียงข้างมาก กับ ชัค ชูเมอร์ แกนนำ ส.ว.เดโมแครตเสียงข้างน้อย ส่งผลให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ต้องปิดตัวลงชั่วคราวตั้งแต่วันนี้ (20 ม.ค.) ซึ่งตรงกับวันครบรอบ 1 ปีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าดำรงตำแหน่งพอดิบพอดี
ทรัมป์ ออกมากล่าวโทษทันทีว่าวิกฤต “ชัตดาวน์” ครั้งนี้เป็นความผิดของพรรคเดโมแครต
“ค่ำคืนนี้พวกเขาเห็นการเมืองสำคัญกว่าความมั่นคงของชาติ ครอบครัวทหาร เด็กๆ ที่อ่อนแอ และศักยภาพของสหรัฐฯ ในการดูแลรับใช้ชาวอเมริกันทุกคน” ถ้อยแถลงจากทำเนียบขาว ระบุ
รัฐบาลสหรัฐฯ ยังประกาศจะไม่ยอมเจรจาเรื่องผู้อพยพดรีมเมอร์ จนกว่าหน่วยงานรัฐจะเปิดทำการได้ตามปกติ
“เราจะไม่เจรจาเรื่องสถานะของผู้อพยพผิดกฎหมาย ตราบใดที่พรรคเดโมแครตยังจับพลเมืองสหรัฐฯ เป็นตัวประกันเพื่อเรียกร้องอย่างขาดสติ นี่คือการกระทำของพวกขี้แพ้ชวนตี ไม่ใช่ผู้บัญญัติกฎหมาย”
ด้าน ส.ว.ชูเมอร์ ก็ชี้นิ้วโยนความผิดกลับไปให้ประธานาธิบดี ทรัมป์ เช่นกัน
“ดูเหมือนคุณอยากให้เกิดชัตดาวน์เสียเต็มประดา ตอนนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว และประธานาธิบดีทรัมป์จะต้องรับผิดไปคนเดียวเต็มๆ”
เมื่อเกิดภาวะชัตดาวน์ หน่วยงานรัฐบาลกลางทั่วสหรัฐฯ จะไม่สามารถดำเนินงานต่อได้เนื่องจากขาดงบประมาณ และพนักงานรัฐ “ที่ไม่จำเป็น” (non-essential) หลายแสนคนจะต้องถูกพักงานชั่วคราวโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ส่วนพนักงานที่ “จำเป็น” (essential) ซึ่งหมายถึงเจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลเรื่องความปลอดภัยสาธารณะและความมั่นคงของชาติจะยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ รวมถึงทหารกว่า 1.3 ล้านนายที่จำเป็นต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง จนกว่าร่างงบประมาณจะผ่าน หรือมีกฎหมายอื่นๆ มารองรับ
พรรคเดโมแครตเรียกร้องให้เพิ่มมาตรการคุ้มครองผู้อพยพดรีมเมอร์ 700,000 คนไม่ให้ถูกเนรเทศออกจากสหรัฐฯ แต่ฝ่ายผู้นำรีพับลิกันไม่ยินยอม และต่างฝ่ายต่างก็ปฏิเสธจะผ่อนปรนในประเด็นนี้
อย่างไรก็ตาม แมคคอนเนลล์ และ ชูเมอร์ ยืนยันว่าพวกเขาจะพยายามแสวงหาข้อตกลง และผ่านร่างงบประมาณฉบับใหม่ให้ได้โดยเร็วที่สุด
สัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์ ได้ออกมาปฏิเสธร่างข้อเสนอของทั้ง 2 พรรค โดยยื่นคำขาดว่ากฎหมายใดๆ ก็ตามที่ปกป้องผู้อพยพดรีมเมอร์ก็จะต้องจัดสรรงบสร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกด้วย
ชูเมอร์ ได้เข้าพบ ทรัมป์ เมื่อบ่ายวันศุกร์ (19) โดยยินยอมที่จะพ่วงงบอุดหนุนสร้างกำแพงเอาไว้ในการเจรจาด้วย แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ ทรัมป์ ยอมประประนีประนอม
แม้การปิดหน่วยงานรัฐบาลครั้งก่อนๆ จะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาวมากนัก แต่ก็ทำให้ตลาดการเงินปั่นป่วนไม่น้อย