เอเอฟพี - สื่อต่างประเทศรายงานอ้างข้อมูลของศูนย์เฝ้าระวังแห่งหนึ่งเผยในวันพุธ (27 ธ.ค.) ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุความไม่สงบตามจังหวัดต่างๆ ทางภาคใต้ของไทย แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ความขัดแย้งเริ่มต้นเมื่อ 13 ปีก่อน ในขณะสถานการณ์ด้านความมั่นคงดีขึ้นภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐบาลทหาร
หลายจังหวัดทางใต้สุดของไทยที่อยู่ติดกับชายแดนมาเลเซีย ต้องเผชิญกับเหตุความไม่สงบเสียเลือดเสียเนื้อมาตั้งแต่ปี 2004 และคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วเกือบ 7,000 ศพ โดยเหยื่อส่วนใหญ่เป็นพลเมือง ทั้งชาวมุสลิมและชาวพุทธ ในเหตุโจมตีด้วยระเบิดและใช้อาวุธปืนยิงที่เกิดขึ้นแบบรายวัน
เอเอฟพีอ้างข้อมูลที่รวบรวมโดยศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch) ระบุว่า ในปี 2017 มีผู้เสียชีวิตในเหตุปะทะระหว่างกบฏมุสลิม - มาเลย์ กับทหารและตำรวจไทย ราว 235 คน ลดลงจาก 309 ศพ ในปี 2016 ขณะที่ตัวเลขเหยื่อรายปีลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2014 และลดลงอย่างมากจากขวบปีที่สถานการณ์เข้าสู่ภาวะเลวร้ายสุดเมื่อปี 2007 ซึ่งปีนั้นมีผู้เสียชีวิตมากถึง 892 คน
“เราเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ลดลงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และยอดผู้เสียชีวิตในปีนี้แตะระดับต่ำสุดเท่าที่เคยมีมา หากไม่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันข้างหน้า” โฆษกของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี
รายงานข่าวของเอเอฟพีให้ข้อมูลว่า ไทยต่อสู้กับพวกนักรบเชื้อสายมาเลย์ที่แสวงหาอำนาจในการปกครองตนเองมากขึ้นมาหลายทศวรรษ แต่ความขัดแย้งปะทุเข้าสู่ระยะแห่งการนองเลือดในปี 2004
พวกกลุ่มสิทธิมนุษยชนกล่าวหาทั้งกลุ่มก่อความไม่สงบและกองกำลังด้านความมั่นคง ว่า ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง
เอเอฟพีระบุว่า คณะรัฐประหารซึ่งเข้ายึดอำนาจในปี 2014 ยังคงเดินหน้าเจรจาสันติภาพ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขามีความก้าวหน้าเพียงเล็กน้อย โดยได้มีการหารือจัดตั้ง “โซนความปลอดภัย” กับพวกก่อความไม่สงบกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวแทนของกบฏ แต่ไม่มีการเปิดเผยข้อตกลงต่อสาธารณะใดๆ
ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี สันนิษฐานว่ายอดผู้เสียชีวิตที่ลดลงอาจเชื่อมโยงกับการเจรจาที่ยังเดินหน้าอยู่และโครงการพัฒนาต่างๆ ของรัฐบาล