เอเอฟพี - ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ปฏิเสธตำแหน่ง “บุคคลแห่งปี 2017” (Person of the Year) หลังจากที่นิตยสารไทม์ได้มาขอสัมภาษณ์และถ่ายรูป โดยไทม์เองก็ยังไม่ได้ยืนยันว่า ทรัมป์ จะได้รับเลือกจริงหรือไม่
ทรัมป์ ได้ทวีตข้อความว่า “นิตยสารไทม์โทรมาบอกว่า มีความเป็นไปได้ที่ผมจะได้รับเลือกเป็น ‘บุคคลแห่งปี’ เช่นเดียวกับเมื่อปีที่แล้ว ผมจำเป็นต้องยอมให้พวกเขาสัมภาษณ์และถ่ายรูป ก่อนจะตอบไปว่า ไม่ดีหรอกมั้ง ขอผ่านดีกว่า แต่ยังไงก็ขอบคุณ!”
ล่าสุด นิตยสารไทม์ได้ออกมาโต้แย้งผ่านทวิตเตอร์ว่า “ประธานาธิบดีเข้าใจผิดเกี่ยวกับกระบวนการคัดเลือกบุคคลแห่งปี ไทม์จะไม่ให้ข้อมูลล่วงหน้าว่าใครได้ตำแหน่ง จนกว่านิตยสารจะตีพิมพ์ในวันที่ 6 ธ.ค.”
ด้าน ริชาร์ด สเตนเกล อดีตบรรณาธิการของไทม์ ได้รีทวีตข้อความของ ทรัมป์ พร้อมเขียนตอบโต้อย่างเจ็บแสบว่า “เสียใจที่ต้องบอกคุณ แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันที่คุณจะไม่ใช่บุคคลแห่งปี”
“พวกเขาแค่ต้องการขอถ่ายรูปเท่านั้นแหละ แต่ผมมั่นใจว่าคุณน่าจะยังเก็บปกไทม์เก๊เอาไว้ที่ไหนสักแห่ง”
นิตยสารไทม์จะมอบตำแหน่งดังกล่าวให้แก่บุคคล "ผู้ซึ่งการกระทำของเขามีอิทธิพลสูงสุดต่อเหตุการณ์ต่างๆ ในรอบปี ไม่ว่าจะในทางดีหรือทางร้าย"
ไทม์ มอบตำแหน่งบุคคลแห่งปี 2016 ให้กับ ทรัมป์ หลังจากที่เขาชนะศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเหนือความคาดหมาย โดยลงข้อความพาดหัวนิตยสารฉบับดังกล่าวว่า “ประธานาธิบดีแห่งรัฐที่แตกแยกของอเมริกา” (President of the Divided States of America)
อดีตนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์วัย 71 ปีคาดหมายรางวัลอันทรงเกียรตินี้มาโดยตลอด และเคยออกมาทวีตข้อความตัดพ้อที่ตนเองไม่ได้รับเลือกในปี 2012, 2014 และ 2015
หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานเมื่อเดือน มิ.ย. ว่า สนามกอล์ฟส่วนตัวของ ทรัมป์ ได้นำปกนิตยสารไทม์ซึ่งถูกตัดต่อและใส่ภาพใบหน้ามหาเศรษฐีปากร้ายพร้อมข้อความพาดหัวเชิงบวก มาใส่กรอบตั้งโชว์
ตั้งแต่ประกาศตัวลงชิงชัยในสนามเลือกตั้งผู้นำทำเนียบขาว ทรัมป์ ก็มีเรื่องขัดแย้งกับสื่อมวลชนในอเมริกาเกือบทุกสำนัก และมักตราหน้าสำนักข่าวที่กล้าวิจารณ์ตนเองว่า “Fake News”
Time Magazine called to say that I was PROBABLY going to be named “Man (Person) of the Year,” like last year, but I would have to agree to an interview and a major photo shoot. I said probably is no good and took a pass. Thanks anyway!
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) November 24, 2017