เอเจนซีส์/MGR ออนไลน์ - เป็นครั้งแรกหลังตกเป็นข่าวไปทั่วสหรัฐฯ ภรรยาหม้ายท้อง 6 เดือนของทหารหน่วยรบพิเศษกรีนเบอเรต์ สิบเอก ลา เดวิด จอห์นสัน (Sgt. La David Johnson) วัย 25 ปี ที่ถูกซุ่มโจมตีจากกลุ่มติดอาวุธระหว่างปฏิบัติหน้าที่กับหน่วยในไนเจอร์เมื่อต้นเดือนนี้ ได้ออกมาเปิดเผยถึงข้อความสนทนาระหว่างตัวเธอและประธานาธิบดีทรัมป์ โดยยืนยันว่าในการโทรศัพท์แสดงความเสียใจกับเธอ ผู้นำสหรัฐฯ ได้เอ่ยปากว่า สามีของเธอรู้ดีว่าการที่เขาลงชื่อเข้าร่วมนั้นหมายความว่าอย่างไร แถมจับพิรุธพบทรัมป์จำชื่อสามีไม่ได้ หลังก่อนหน้า ส.ส.หญิงรัฐฟลอริดา เพื่อนสนิทของครอบครัวโกลด์สตาร์แฟมิลีรายนี้ประกาศผ่านสื่อ ทรัมป์ไม่ให้เกียรติครอบครัวผู้เสียชีวิต
สื่อแอตแลนตาเจอร์นัลคอนสติติวชัน (AJC) รายงานเมื่อวานนี้ (23 ต.ค.) ว่า ไมอีเชีย จอห์นสัน (Myeshia Johnson) ภรรยาหม้ายของ สิบเอก ลา เดวิด จอห์นสัน หน่วยรบพิเศษกรีนเบอเรต์ที่เสียชีวิตเป็นคนที่ 4 ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในไนเจอร์เมื่อวันที่ 4 ต.ค ที่ผ่านมาได้เปิดเผยต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกถึงคำสนทนาระหว่างตัวเธอและผู้นำสหรัฐฯ
ในการเปิดเผยผ่านรายการกู๊ดมอร์นิ่งอเมริกาทางสถานีเอบีซีนิวส์ในวันจันทร์ (23 ต.ค.) นางจอห์นสันที่ตั้งครรภ์ 6 เดือนเปิดเผยทั้งน้ำตาว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้บอกกับเธอเองว่า สามีของเธอรูดีว่าที่ลงชื่อไปนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องเจ็บปวดสำหรับเธอ
สื่อแอตแลนตาชี้ว่า สิบเอก จอห์นสัน เสียชีวิตเป็นคนสุดท้าย โดยร่างของเขาถูกพบในอีก 2 วันต่อมาในที่ห่างไกล ซึ่งมีรายงานในขณะนั้นโดย CNN เปิดเผยว่า เชื่อว่าจอห์นสันถูกจับไปขณะมีชีวิตและถูกสังหารในเวลาต่อมา ซึ่งภารกิจที่จอห์นสันและหน่วยรบพิเศษกรีนเบอเรต์ได้รับมอบหมายในไนเจอร์ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อธิบายเพียงว่า เป็นภารกิจการฝึกและให้คำแนะนำแก่กองกำลังไนเจอร์ในตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ
ขณะที่นายทหารสหรัฐฯ อีก 3 นายที่เสียชีวิต กระทรวงกลาโหมรายงานว่ามีดังนี้ จ่าสิบตรี ไบรอัน แบล็ก (Bryan Black) วัย 35 ปี จ่าสิบตรี เจเรมิอาห์ จอห์นสัน (Jeremiah Johnson) วัย 39 ปี และจ่าสิบตรี ดัสติน ไรท์ (Dustin Wright) วัย 29 ปี ซึ่งพบว่าจ่าสิบเอก จอห์นสันเป็นผู้ที่มีอายุน้อยที่สุด โดยจอห์นสันในระหว่างเสียชีวิตมีอายุแค่ 25 ปีเท่านั้น
ในรายการกู๊ดมอร์นิ่งอเมริกา ไมอีเชีย จอห์นสัน ได้ยืนยันว่า เธอต้องการคำอธิบายในเหตุการณ์เสียชีวิตของสามีเธอจากรัฐบาลสหรัฐฯ
“ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เขารู้ดีว่า ที่ลงชื่อไปนั้นมันหมายความว่าอย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็รู้สึกเจ็บปวดอยู่ดี” นางจอห์นสันกล่าวให้สัมภาษณ์ถึงบทสนทนาการแสดงความเสียใจทางโทรศัพท์ของประธานาธิบดีทรัมป์และตัวเธอ ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่เธอและครอบครัวกำลังมุ่งหน้าไปยังท่าอากาศยานเมืองไมอามี รัฐฟลอริดา เพื่อรับร่างของสิบเอกจอห์นสัน ซึ่งมีพิธีฝังศพขึ้นที่รัฐฟลอริดาในวันเสาร์ (21 ต.ค.) ที่ผ่านมา
ภรรยาของสิบเอก จอห์นสันกล่าวต่อว่า “มันทำให้ดิฉันต้องร้องไห้เป็นเพราะดิฉันรู้สึกโกรธมากในน้ำเสียงของเขา และการที่เขาทำให้ดิฉันรู้สึกว่าเขาจำชื่อสามีของดิฉันไม่ได้ และวิธีเดียวที่เขาจะสามารถจำชื่อของสามีดิฉันได้คือ เขาบอกเองว่า คือการมีรายงานของสามีดิฉันวางอยู่ตรงหน้า และนั่นเป็นครั้งที่เขาได้เอ่ยชื่อ ลา เดวิด ออกมา”
แต่อย่างไรก็ตาม ภายในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน (23) ทรัมป์ได้ใช้ทวีตเตอร์ตอบโต้ข้อกล่าวหาของไมอีเชีย จอห์นสัน โดยประกาศว่า ***เขาได้มีการสนทนาทางโทรศัพท์กับเธอซึ่งเป็นครอบครัวโกลด์สตาร์แฟมิลีอย่างให้ความเคารพ และยังได้เอ่ยชื่อถึงนายทหารที่เสียชีวิตตั้งแต่เริ่มต้นจนจบการสนทนาโดยไม่มีการลังเลแม้แต่น้อย***
นางจอห์นสันกล่าวยืนยันในรายงการข่าวยามเช้าว่า ทรัมป์ดูเหมือนจะมีอาการติดขัดในระหว่างที่พยายามที่จะเอ่ยชื่อของสามีออกมา และเธอชี้ว่า สิ่งนี้ทำให้เธอเสียใจเป็นที่สุดเพราะสามีเธออยู่ที่นั่นเพราะเพื่อการรับใช้ชาติ และต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อสหรัฐอเมริกา แต่ทำไมประธานาธิบดีสหรัฐฯ จึงจำชื่อของสามีเธอไม่ได้
โดยในการเปิดเผยวันจันทร์ (23 ต.ค.) ภรรยาหม้ายชี้ว่า ในเบื้องต้นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้โทรศัพท์ไปยังจ่าสิบเอกนายหนึ่ง และเธอได้ขอให้นายทหารผู้นี้เปิดสปีกเกอร์โฟนเพื่อที่จะให้ทั้งลุงและป้าของเธอสามารถได้ยินคำสนทนาด้วย และในการให้สัมภาษณ์ ไมอีเชีย จอห์นสัน ยังชี้ว่า ส.ส.รัฐฟลอริดา เฟรเดริกา วิลสัน (Frederica Wilson) ได้ยินผู้นำสหรัฐฯ เอ่ยปากกับเธอที่ว่า “จอห์นสันรู้ตัวดีว่า ที่ลงชื่อไปนั้นหมายถึงอะไร”
สื่อแอตแลนตาชี้ว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ออกมาปฎิเสธข้อกล่าวหานี้หลังจากสส.หญิงรัฐฟลอริดารายนี้ออกมาเปิดเผยต่อสื่อสหรัฐฯถึงการไม่ให้เกียร์ติครอบครัวทหารที่เสียชีวิตของทรัมป์ ในขณะที่ทางทำเนียบขาวออกมาโจมตีวิลสันว่า เธอได้แอบฟังการสนทนาส่วนตัวของครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้นำสหรัฐฯ
โดยภรรยาหม้ายยืนยันในรายการว่า “คุณวิลสันไม่ได้แต่งเรื่องขึ้น สิ่งที่เธอกล่าวเป็นสิ่งที่จริง 100 % ทำไมพวกเราจึงต้องการที่จะแต่งเรื่องแบบนี้ขึ้นมา”
ทั้งนี้เหตุการณ์กองกำลังรบพิเศษสหรัฐฯถูกซุ่มโจมตีถูกสอบสวนในเวลานี้ โดยสื่อเมอร์คิวรีนิวส์ของสหรัฐฯรายงานล่าสุด พบว่ากองกำลังรบพิเศษกรีนเบเรต์ต้องใช้เวลารอกำลังเสริมทางอากาศนานร่วมชั่วโมงในไนเจอร์เมื่อวันที่ 4 ต.ค ล่าสุด
ทั้งนี้พบว่าหน่วยรบพิเศษที่ถูกซุ่มโจมตีในพื้นที่ห่างไกลในไนเจอร์นั้นไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากกองกำลังฝรั่งเศสที่ตั้งอยู่ไม่ห่างออกไปร่วม 1 ช.ม หลังการปะทะอย่างดุเดือดได้เริ่มขึ้นใกล้กับหมู่บ้านที่กองกำลังสหรัฐฯได้ออกไปหาข่าว ซึ่งตอนหลังมีรายงานว่า หมู่บ้านนี้มีการแฝงตัวของฝ่ายตรงข้าม และชาวบ้านในหมู่บ้านเป็นผู้ล่อทหารสหรัฐฯเพื่อให้ถูกซุ่มโจมตี
เมอร์คิวรีนิวส์รายงานว่า และกองกำลังฝรั่งเศสต้องใช้เวลาอีก 1 ช.มเพื่อที่จะสามารถนำเครื่องบินเจ็ตไปยังจุดที่กองกำลังรบพิเศษกรีนเบเรต์อยู่ อ้างอิงจากข้อมูลใหม่ที่เปิดเผยโดยประธานคณะเสนาธิการร่วมสหรัฐฯ พลเอก โจเซฟ ดันฟอร์ด(Joseph Dunford)
ข้อมูลใหม่ทำให้รับรู้ว่าหน่วยรบสหรัฐฯต้องอยู่ในพื้นที่ลำพังเป็นระยะเวลานานโดยปราศจากการสนับสนุนอย่างเพียงพอ ซึ่งพบว่าในเวลานั้น นอกจากทหารสหรัฐฯ 4 นายจะเสียชีวิต ทหารไนเจอร์ 5 นายเสียชีวิตด้วยเช่นกัน
โดยในการแถลง ดันฟอร์ดกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ทหารระดับอาวุโสของสหรัฐฯนั้นมีความมั่นใจเมื่อครั้งที่พวกเขาออกมาจากฐานในวันที่ 3 ต.ค ซึ่งภารกิจเป้าหมายคือ การลาดตระเวนหาข่าวตามปกติทีตองโก ตองโก(Tongo Tongo) หมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้กับพรมแดนไนเจอร์ที่ติดกับมาลี แต่ทว่าดันฟอร์ดยอมรับว่า ในเวลานี้ยังไม่แน่ชัดว่า เหตุใดพวกเขานั้นเบี่ยงเบนออกจากแผนเดิม และข้อสงสัยที่ว่า พวกเขามีอุปกรณ์การสื่อสารเพียงพอสำหรับการติดต่อหรือไม่ หรือเหตุใดสิบเอก ลา เดวิด จอห์นสัน ที่ได้รับบาดเจ็บจึงหายตัวไป
ซึ่งประธานคณะเสนาธิการร่วมสหรัฐฯชี้ว่า คำถามเหล่านี้ต้องได้รับการตอบในกระบวนการสอบสวนหาสาเหตุความผิดพลาด
โดยดันฟอร์ดยอมรับว่า กองกำลังสหรัฐฯถูกซุ่มโจมตีโดยกลุ่มติดอาวุธที่โยงใยกับกลุ่มก่อการร้าย IS ราว 50 คน ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาครึ่งเช้าของวันนั้นในระหว่างการร่วมลาดตระเวนกองกำลังสหรัฐฯและไนเจอร์ ที่ประกอบไปด้วย กองกำลังสหรัฐฯ 12 นาย และกองกำลังไนเจอร์ 30 นาย มุ่งหน้าห่างจากหมู่บ้านตองโก ตองโก เพื่อกลับสู่ฐานที่ตั้ง
ดันฟอร์ดชี้ว่า กองกำลังติดอาวุธซุ่มโจมตีมีทั้งจรวด ปืนกล และอาวุธเบา
และไม่มีข้อบ่งชี้ว่า กองกำลังสหรัฐฯได้ทำการติดต่อขอความช่วยเหลือภายใน 1 ช.มแรก แต่หลังจากที่พวกเขาได้ติดต่อแล้ว โดรนสหรัฐฯได้ถูกส่งออกไปภายในเสี้ยงวินาที และสามารถจับภาพการสู้รบจากเบื้องล่างได้ และต้องใช้เวลาอีกร่วม 30 นาทีที่จะสามารถส่งเครื่องบินรบมิราจไฟเตอร์ของกองกำลังฝรั่งเศศไปถึงจุดที่ตั้งของกองกำลังรบพิเศษสหรัฐฯที่กำลังอยู่ในระหว่างการถูกโจมตี
ทั้งนี้ในรายงานของ VOA สหรัฐฯพบว่า มีความเป็นไปได้ที่หมู่บ้านตองโก ตองโก นั้นอาจมีการแฝงตัวของกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งมีความเชื่อว่า ชาวบ้านภายในหมู่บ้านนี้ล่อนายทหารสหรัฐฯให้เข้าไปติดกับดัก โดยพบว่าได้มีการหลอกล่อให้นายทหารอยู่ภายในพื้นที่นานผิดปกติ และได้มีการจัดฉากให้เกิดการโจมตีขึ้นเพื่อล่อให้นายทหารเหล่านี้ออกไป และโดนการซุ่มโจมตีทันที อ้างอิงจากผู้เชี่ยาญด้านการก่อการร้ายในภูมิภาค ที่อ้างว่าได้รับข้อมูลจากรัฐมนตรีกลาโหมไนเจอร์ คัลลา เมาทารี(Kalla Moutari)
ด้านนายกเทศมนตรีเมืองตองโก ตองโก อัลเมา ฮัสซาน( Almou Hassane) ได้กล่าวให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “พวกลงมือโจมตี โจร ผู้ก่อการร้าย ไม่เคยขาดความร่วมมือกับคนในพื้นที่” และเสริมว่า เมาไคลา อลาสซาน(Mounkaila AlassaneX ผู้ใหญ่บ้านตองโก ตองโก ถูกจับกุมนับตั้งแต่วันโจมตี โดยอ้างไปถึง ข้อสงสัยในการให้ความช่วยเหลือกลุ่มติดอาวุธ
โดยอ้างอิงจากหลายแหล่งข่าวพบว่า ในเวลานี้ผู้ใหญ่บ้านรายนี้อยู่ในการคุมตัวของรัฐบาลไนเจอร์ ซึ่งมาถึงเวลานี้ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาแสดงความรับผิดชอบ แต่มีการเปิดชื่อของ อาบู อัดนาน อัล-ซาฮาราอุย( Abu Adnan al-Saharaoui)