เอเจนซีส์ - หน่วยกู้ภัยอินเดียเร่งค้นหาผู้สูญหายที่คาดว่ายังติดอยู่ใต้ซากอาคารเก่าแก่อายุ 117 ปี ในนครมุมไบ ซึ่งพังถล่มเมื่อช่วงเช้าวันพฤหัสบดี (31 ส.ค.) หลังจากพบศพแล้วอย่างน้อย 21 ราย โดยเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งนี้เพิ่งจะฟื้นจากวิกฤตน้ำท่วมเนื่องจากฝนที่ตกติดต่อกันหลายวัน ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 14 คน
สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างข้อมูลจากหัวหน้าหน่วยดับเพลิงท้องถิ่นซึ่งยืนยันว่าสามารถช่วยเหลือผู้รอดชีวิตออกมาได้แล้ว 13 คน และถูกนำส่งไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล ขณะที่พนักงานดับเพลิง 6 นายได้รับบาดเจ็บด้วย
หน่วยกู้ภัยนำรถแบ็กโฮเข้าช่วยขุดค้นซากอาคารที่พักอาศัยสูง 6 ชั้นในย่านเบนดีบาซาร์ ซึ่งพังถล่มลงมาเมื่อเวลา 08.40 น.ตามเวลาท้องถิ่น (ราว 10.10 น.ตามเวลาในไทย) หลังมีฝนตกหนักจนเมืองมุมไบเกิดน้ำท่วมสูงคร่าชีวิตชาวเมืองไปอย่างน้อย 14 คน
ตึกถล่มคราวนี้ถือเป็นหายนะครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นกับมหานครขนาดใหญ่ของอินเดีย และชี้ให้เห็นปัญหาการก่อสร้างอาคารที่ไม่ได้มาตรฐาน ทั้งนี้ในมุมไบนั้น เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี้เอง ก็เพิ่งเกิดเหตุอาคาร 4 ชั้นหลังหนึ่งถล่ม โดยสงสัยกันว่าเนื่องจากมีการปรับปรุงต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางการ ทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 17 คน
เจ้าหน้าที่จากศูนย์ควบคุมของหน่วยตอบสนองภัยพิบัติแห่งชาติอินเดีย (NDRF) คาดว่ายังมีคนติดอยู่ภายในซากตึกถล่มล่าสุดนี้อีกไม่น้อย
รถพยาบาลทยอยนำผู้บาดเจ็บกว่าสิบรายไปส่งที่โรงพยาบาล เจ.เจ. ทางตอนใต้ของนครมุมไบ ขณะที่ชาวบ้านอีกหลายคนร่วมกับหน่วยเอ็นดีอาร์เอฟและตำรวจจำนวนราว 200 คนขุดคุ้ยซากปรักหักพัง หวังจะเจอผู้รอดชีวิต
อคารหลังที่ถล่มล่าสุดนี้ เป็นหนึ่งในอาคารซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยหนาแน่นแออัดที่สุดของเมือง ถึงแม้ทางการเคหะของเทศบาลมุมไบได้ประกาศตั้งแต่ปี 2011 ว่าอาคารเก่าแก่แห่งนี้ไม่ปลอดภัย แต่ก็ยังคงถูกใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนรับเด็กก่อนวัยเรียนแห่งหนึ่ง รวมทั้งเป็นที่พำนักของหลายๆ ครอบครัว
อุบัติเหตุตึกถล่มเกิดขึ้นบ่อยครั้งที่มุมไบ โดยเฉพาะช่วงที่ฝนตกหนักในฤดูมรสุมตั้งแต่ปลายเดือน มิ.ย.ไปจนถึง ก.ย.
ขณะที่ฝนซึ่งเทกระหน่ำตั้งแต่วันอังคาร (29) ส่งผลให้หลายพื้นที่ในมุมไบเกิดน้ำท่วมสูง ถึงแม้เมื่อถึงวันพฤหัสบดี (31) ระดับน้ำจะเริ่มลดและสภาพอากาศดีขึ้นบ้างแล้วก็ตาม
ชาวบ้านในพื้นที่เล่าว่า พวกเขาได้ยินเสียงตึกถล่ม จึงพากันวิ่งเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
“จู่ๆ ก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จากนั้นพวกเราก็วิ่งเข้าไปดู” นาซีม โมกราเดีย ที่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 2 ช่วงถนน ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี