รอยเตอร์ - กระทรวงการต่างประเทศของจีนระบุ การที่เรือพิฆาตลำหนึ่งแห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ “ปฏิบัติการเสรีภาพการเดินเรือ” ด้วยการเข้าไปในระยะ 12 ไมล์ทะเลใกล้เกาะเทียมที่ปีกกิ่งสร้างขึ้น ในทะเลจีนใต้เมื่อวันพฤหัสบดี (10 ส.ค.) ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายจีน รวมถึงเป็นอันตรายต่อความมั่นคงและอำนาจอธิปไตยของปักกิ่ง
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า เรือพิฆาตของกองทัพสหรัฐฯ ได้ “ปฏิบัติการเสรีภาพการเดินเรือ” ด้วยการเข้าไปในระยะ 12 ไมล์ทะเลใกล้เกาะเทียมที่จีนสร้างขึ้น ในทะเลจีนใต้
ปฏิบัติการนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังมองหาความร่วมมือจากจีนในการรับมือกับโครงการขีปนาวุธและนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ และอาจทำให้ความพยายามหาจุดยืนร่วมกันนั้นมีความซับซ้อนมากขึ้น
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนามเผยว่า เรือพิฆาต “ยูเอสเอส จอห์น แม็กเคน” ได้ล่องเข้าไปใกล้แนวปะการัง “มิสชีฟ รีฟ” บริเวณหมู่เกาะสแปรตลีย์ในทะเลจีนใต้ บริเวณที่จีนมีข้อพิพาทกับเพื่อนบ้านหลายชาติ
ความเคลื่อนไหวหนนี้ นับเป็น “ปฏิบัติการเสรีภาพในการเดินเรือ” ครั้งที่ 3 แล้ว ที่ทำในช่วงทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ขณะที่มันเป็นความพยายามครั้งล่าสุดที่จะตอบโต้สิ่งที่วอชิงตันมองว่าเป็นความพยายามจำกัดเสรีภาพการเดินเรือในน่านน้ำยุทธศาสตร์ดังกล่าวของปักกิ่ง แม้ว่าทรัมป์กำลังเสาะหาความร่วมมือจากจีนให้ช่วยควบคุมเกาหลีเหนือก็ตาม
กระทรวงการต่างประเทศของจีนระบุว่า ปฏิบัติการดังกล่าวระเลิดทั้งกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายจีน รวมถึงเป็นอันตายต่อความมั่นคงและอำนาจอธิปไตยของปักกิ่ง “จีนไม่พอใจอย่างยิ่งต่อเรื่องนี้ และจะนำเรื่องนี้ไปพูดคุยกับฝั่งสหรัฐฯ” ถ้อยแถลงของกระทรวงการต่างประเทศระบุ
สหรัฐฯ วิพากษ์วิจารณ์การก่อสร้างหมู่เกาะเทียมและฐานทัพทหารหลายแห่งในทะเลจีนใต้ของจีน ทั้งยังเป็นกังวลว่าของพวกนั้นอาจถูกใช้เพื่อจำกัดเสรีภาพในการเดินเรือ
กองทัพสหรัฐฯ แสดงจุดยืนมาช้านานเกี่ยวกับปฏิบัติการเสรีภาพในการเดินเรือทั่วโลก ในนั้นรวมถึงพื้นที่ต่างๆ ที่กล่าวอ้างกรรมสิทธิ์โดยบรรดาพันธมิตร ขณะที่เพนตากอนปฏิเสธให้รายละเอียดต่างๆ แต่บอกว่าทุกปฏิบัติการของพวกเขาล้วนดำเนินการตามกรอบของกฎหมายระหว่างประเทศ
จีนอ้างสิทธิ์ครอบครองพื้นที่เกือบทั้งหมดของทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าที่มีมูลค่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ในแต่ละปี ทำให้มีข้อพิพาทกับบรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และเวียดนาม