xs
xsm
sm
md
lg

โสมแดงโวไม่มีวันล้มโครงการนุก ลั่นเอาคืน US ที่ร่างมติ UN เพิ่มแซงก์ชัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

แมตธิว ไรครอฟต์ ผู้แทนทูตอังกฤษประจำสหประชาชาติ(ซ้าย)และนิกกิ ฮาลีย์ ผู้แทนทูตสหรัฐฯปะจำยูเอ็น(ขวา) ระหว่างร่วมประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เกี่ยวกับมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือรอบใหม่ ที่หาทางลงโทษทางเศรษฐกิจเปียงยางหนักหน่วงขึ้น แลกกับการคืนสู่โต๊ะเจรจาโครงการนิวเคลียร์
เอเจนซีส์ - เกาหลีเหนือยังคงดื้อรั้นเสียงแข็งเมื่อวันจันทร์ (7 ส.ค.) ลั่นมาตรการแซงก์ชันใหม่ของยูเอ็นจะไม่สามารถหยุดยั้งการพัฒนาหัวรบนิวเคลียร์ของตน ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ยอมเจรจาพร้อมกับเตือนสหรัฐฯอย่างโกรธเกรี้ยวว่าจะถูกตอบโต้เอาคืน ด้านผู้นำวอชิงตัน-โซลเห็นพ้องเพิ่มมาตรการกดดันเปียงยาง ขณะที่ปักกิ่งยังหวังว่า เกาหลีเหนือ-ใต้จะกลับมาติดต่อกันอีกครั้งเร็วๆ นี้ แม้รัฐมนตรีโสมแดงปฏิเสธข้อเสนอของโสมขาวในการเจรจาทางทหารเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ตึงเครียดก็ตาม

ข้อความท้าทายเสียงแข็งของเกาหลีเหนือนี้ ถือเป็นการตอบโต้ครั้งใหญ่ครั้งแรกต่อมติเพิ่มการลงโทษคว่ำบาตรซึ่งร่างขึ้นโดยสหรัฐฯ และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติลงมติรับรองด้วยเสียงเอกฉันท์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยที่คาดหมายกันว่าเมื่อนานาชาติปฏิบัติตามการแซงก์ชันใหม่นี้จะทำให้โสมแดงสูญเสียรายรับไปราวปีละ 1,000 ล้านดอลลาร์

“ไม่ว่าในสภาวการณ์ใดๆ ก็ตามที เราจะไม่มีวันนำเอาเรื่องอาวุธนิวเคลียร์และจรวดนำวิถีเข้าสู่โต๊ะเจรจาต่อรอง” รัฐมนตรี รี ยองโฮ ของเกาหลีเหนือระบุในคำแถลงซึ่งนำออกเผยแพร่ในวันจันทร์ (7)ที่กรุงมะนิลา เมืองหลวงของฟิลิปปินส์ ซึ่งเขากำลังเข้าร่วมการประชุมด้านความมั่นคงของภูมิภาค (เออาร์เอฟ) ที่เป็นส่วนหนึ่งของการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศสมาคมอาเซียน

“เช่นเดียวกับที่เราจะไม่ถอยหนีแม้แต่นิ้วเดียวจากเส้นทางซึ่งเราเลือกด้วยตนเองในการเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่กองกำลังนิวเคลียร์ เว้นแต่ว่านโยายที่เป็นปรปักษ์และภัยคุกคามทางนิวเคลียร์ของสหรัฐฯซึ่งมีต่อ สปปก. (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี ชื่ออย่างเป็นทางการของเกาหลีเหนือ) จะถูกกำจัดไปโดยพื้นฐาน”

ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกัน สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของทางการโสมแดงก็ได้ออกคำแถลงกล่าวว่า มาตรการใหม่ของยูเอ็น เป็นการละเมิดอธิปไตยของเกาหลีเหนืออย่างร้ายแรง พร้อมยืนยันว่า จะไม่ยอมต่อรองหรือยกเลิกการป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์เพื่อปกป้องตนเองอย่างเด็ดขาด ขณะที่ยังถูกวอชิงตันคุกคาม

นอกจากนั้น คำแถลงนี้ยังข่มขู่ที่จะทำให้สหรัฐฯ “ต้องชดใช้หนี้สำหรับอาชญากรรมของพวกเขา … อย่างหนักหน่วงกว่าเป็นพันๆ เท่า” จากการเป็นผู้ร่างมาตรการแซงก์ชันฉบับใหม่นี้

ในวันจันทร์ (7) เช่นกัน พัค ซู-ฮยุน โฆษกสำนักประธานาธิบดีเกาหลีใต้ แถลงว่า ประธานาธิบดีมุน แจอินของเกาหลีใต้ และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เห็นพ้องระหว่างการหารือทางโทรศัพท์นานหนึ่งชั่วโมงว่า จะร่วมกันกดดันเกาหลีเหนือต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนการซ้อมรบประจำปีของประเทศทั้งสองที่จะมีขึ้นปลายเดือนนี้

โฆษกผู้นี้กล่าวว่า มุนยังระบุด้วยว่า จำเป็นต้องแสดงให้เปียงยางเห็นว่า ช่องทางการเจรจายังเปิดอยู่ หากเปียงยางยกเลิกโครงการนิวเคลียร์ และบอกกับทรัมป์ว่า เกาหลีใต้จะไม่ยอมให้เกิดสงครามบนคาบสมุทรเกาหลีอีก พร้อมทั้งเรียกร้องให้ผ่อนคลายสถานการณ์ตึงเครียดด้วยสันติวิธี

ก่อนหน้านั้น เอช.อาร์. แมคมาสเตอร์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว ประกาศว่า ทรัมป์นั้นเตรียมตัวเลือกทั้งหมดพร้อมแล้วสำหรับจัดการกับเกาหลีเหนือ
ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือรอบใหม่ ที่หาทางลงโทษทางเศรษฐกิจเปียงยางหนักหน่วงขึ้น แลกกับการคืนสู่โต๊ะเจรจาโครงการนิวเคลียร์
ในคำแถลงเกี่ยวกับการพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างทรัมป์กับมุน ทำเนียบขาวระบุว่า ผู้นำสองชาติยืนยันว่า เกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงยิ่งขึ้นอย่างรวดเร็วต่อสหรัฐฯ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก และเห็นพ้องในการดำเนินมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งเรียกร้องให้นานาชาติปฏิบัติในแนวทางเดียวกันเพื่อเพิ่มการกดดันต่อโสมแดง

นอกจากนั้น ตัวทรัมป์เองยังทวิตว่า พอใจและประทับใจมากที่คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น ลงมติด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ 15-0 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (5) รับรองญัตติเพิ่มมาตรการลงโทษต่อเกาหลีเหนือขั้นรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา

มาตรการแซงก์ชันครั้งใหม่มีเป้าหมายกดดันให้เปียงยางยุติโครงการนิวเคลียร์ และอาจทำให้เปียงยางสูญรายได้จากการส่งออก 1 ใน 3 ของมูลค่ารวม 3,000 ล้านดอลลาร์

มติดังกล่าวซึ่งร่างโดยสหรัฐฯ กำหนดให้ห้ามการส่งออกถ่านหิน เหล็ก แร่เหล็ก และอาหารทะเลของเกาหลีเหนือ หลังจากโสมแดงทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป (ไอซีบีเอ็ม) ถึงสองครั้งในเดือนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังห้ามประเทศต่างๆ รับแรงงานเกาหลีเหนือเพิ่ม รวมทั้งไม่ให้เข้าโครงการร่วมทุนกับเกาหลีเหนือ และการลงทุนใหม่ๆ ในโครงการร่วมทุนเดิม

ไม่เพียงเฉพาะทรัมป์ ด้าน เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันจันทร์ระหว่างเข้าร่วมประชุมเออาร์เอฟที่อาเซียนเป็นเจ้าภาพ ว่า การที่จีนและรัสเซียสนับสนุนญัตติดังกล่าว เป็นการส่งข้อความชัดเจนว่า นานาชาติคาดหวังสิ่งใดจากเกาหลีเหนือ และเสริมว่า วอชิงตันจะพิจารณาจัดการหารือ ถ้าเปียงยางระงับโครงการขีปนาวุธเท่านั้น อย่างไรก็ดี เกาหลีเหนือยืนกรานตลอดมาว่า ไม่คิดล้มเลิกโครงการของตนเด็ดขาด

วิกฤตคาบสมุทรเกาหลีกลายเป็นประเด็นที่เออาร์เอฟให้ความสนใจอย่างมาก งานนี้ยังทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศโสมใต้-โสมแดงมีโอกาสพบกันช่วงสั้นๆ ก่อนงานเลี้ยงอาหารค่ำวันอาทิตย์ (6) ซึ่งถือเป็นการพบกันครั้งแรกของเจ้าหน้าที่ระดับรัฐมนตรีของสองประเทศนับจากที่มุนเข้ารับตำแหน่งผู้นำเกาหลีใต้เมื่อเดือนพฤษภาคม พร้อมชูนโยบายการเปิดเจรจาควบคู่กับการใช้มาตรการลงโทษเพื่อให้เกาหลีเหนือกลับสู่โต๊ะเจรจา

สำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้รายงานว่า ระหว่างที่พบกัน คัง คยุง-ฮวา รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ ขอให้เกาหลีเหนือตอบรับข้อเสนอการเจรจาทางทหารเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด และการหารือรอบใหม่เกี่ยวกับงานรวมญาติสำหรับครอบครัวที่ต้องพลัดพรากกันอยู่คนละประเทศ ทว่า รี รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือ บอกปัดว่า ข้อเสนอดังกล่าวไม่จริงใจ เพราะขณะนี้ โซลกำลังร่วมกับอเมริกาบังคับใช้มาตรการลงโทษเปียงยาง

กระนั้น หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนที่ไปร่วมประชุมด้วย ให้สัมภาษณ์แสดงความหวังว่า เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้จะสามารถปรับปรุงความสัมพันธ์กันได้ และตนรู้สึกว่า รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอของคังโดยสิ้นเชิง

ถึงแม้ปักกิ่งให้คำมั่นบังคับใช้มาตรการแซงก์ชันอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ระบุว่าไม่คิดว่าแนวทางนี้คือทางออกสุดท้าย

ในบทความหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เหรินหมินรึเป้าของพรรคคอมมิวนิสต์จีนฉบับวันจันทร์ ได้ตอกย้ำจุดยืนดังกล่าวว่า เกาหลีเหนือสมควรถูกลงโทษจากการละเมิดกฎของยูเอ็นโดยการยิงขีปนาวุธ แต่ขณะเดียวกัน มาตรการแซงก์ชันต้องหลีกเลี่ยงการทำร้ายประชาชนธรรมดาและประเทศอื่นๆ

จีนยังเรียกร้องให้วอชิงตันและโซลลดความตึงเครียดด้วยการจำกัดกิจกรรมทางทหารและการซ้อมรบ รวมทั้งยกเลิกการติดตั้งระบบต่อต้านขีปนาวุธขั้นสูง ทาด ของสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้

นอกจากนั้น โกลบัล ไทม์ แท็บลอยด์ทรงอิทธิพลที่ตีพิมพ์โดยเหรินหมินรึเป้า ระบุในบทบรรณาธิการฉบับวันจันทร์ว่า อเมริกาต้องยุติท่าทีหยิ่งยะโสต่อเกาหลีเหนือซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขวิกฤตการณ์นี้เลย


กำลังโหลดความคิดเห็น