รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - หลานชายของนายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง แห่งสิงคโปร์ และเวลานี้เป็นนักวิชาการอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในสหรัฐฯ บอกว่าจะไม่เดินทางกลับบ้านแน่ๆ หลังจากเขาถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นกระบวนการยุติธรรม สืบเนื่องจากการแสดงความคิดเห็นว่าศาลของนครรัฐแห่งนี้ไม่มีความเป็นอิสระ
สำนักงานอัยการสูงสุดของสิงคโปร์แถลงเมื่อวันศุกร์ (4 ส.ค.) ว่าจะเริ่มต้นการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อ ลี เซิงอู่ (Li Shengwu) ในข้อหาหมิ่นศาล สืบเนื่องจากข้อความที่เขาโพสต์บนเฟสบุ๊กเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา ความเคลื่อนไหวทางกฎหมายคราวนี้ถือว่าเป็นการหักมุมครั้งล่าสุดในกรณีการทะเลาะเบาะแว้งภายในครอบครัวลีซึ่งดำเนินมาสองสามเดือนแล้ว ว่าจะทำอย่างไรกับบ้านหลังที่ ลี กวนยู บิดาผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์ผู้ล่วงลับไปแล้วทิ้งเอาไว้ ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่ถูกจับตามองแบบไม่กระพริบตาในชาติเล็กๆ แต่มั่งคั่งร่ำรวยอีกทั้งขึ้นชื่อว่าปลอดคอร์รัปชั่นและทรงประสิทธิภาพแห่งนี้
ทั้งนี้ในข้อความที่เขาโพสต์ขึ้นเฟสบุ๊กดังกล่าว ลี เซิงอู่ ซึ่งเป็นหลานชายแท้ๆ ของนายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง โดยเป็นบุตรชายของ ลี เซียนหยาง น้องชายของนายกฯลี ได้พูดถึงรัฐบาลสิงคโปร์ว่า เป็น “พวกชอบค้าความ” ขณะที่ศาลยุติธรรมของสิงคโปร์ก็ “หัวอ่อนโอนเอนไปมา”
ลี เซิงอู่ ซึ่งปัจจุบันอายุ 32 ปี และจบปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เวลานี้เป็นนักวิจัยระดับต้น (junior fellow) อยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เขาให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์จากสหรัฐฯเมื่อวันเสาร์ (5 ส.ค.) ว่า เขาคาดหมายจะเริ่มต้นทำงานกับฮาร์วาร์ดในตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ได้ในภาคฤดูใบไม้ร่วงปี 2018
เขากล่าวว่า เขาจะแก้ต่างคดีความที่ถูกฟ้องโดยใช้ทนายเป็นตัวแทนทางกฎหมายในสิงคโปร์ แต่ตัวเขาเองจะไม่เดินทางกลับประเทศ
“ผมไม่มีความตั้งใจที่จะเดินทางกลับไปสิงคโปร์หรอก ผมมีชีวิตที่สบายดีและมีงานที่กำลังเติมเต็มให้ตัวเองอยู่ในสหรัฐฯแล้ว” เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์คราวนี้
ลีบอกด้วยว่า การฟ้องร้องกล่าวหาเขาครั้งนี้ “มีแรงจูงใจทางการเมือง”
“สำนักงานอัยการสูงสุดได้มีการระบุอ้างอิงอย่างเปิดเผย ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวของผม และเหตุการณ์การเมืองเมื่อเร็วๆ นี้ ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจาก หนังสือเตือนให้งดเว้นการกระทำ (cease and desist letter) ของพวกเขา” ลี กล่าว
“ผมต้องการที่จะใช้เวลาของผมไปในการทำวิจัย แต่แล้วจับพลัดจับผลูผมก็ถูกกวาดเข้าไปอยู่ในแผนการแก้แค้นทางการเมืองส่วนตัวของลุงของผม--ลี เซียนลุง เข้าจนได้”
ทางด้านโฆษกของสำนักนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ไม่แสดงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อทางรอยเตอร์สอบถามไป
แก้ไขข้อความที่โพสต์บนเฟซบุ๊ก
ในคำแถลงที่ออกมาเมื่อวันศุกร์ (4) สำนักงานอัยการสูงสุดระบุว่า ก่อนหน้านี้ได้เคยตักเตือน ลี ให้ลบข้อความที่โพสต์เอาไว้ และเขียนจดหมายขอโทษโดยมีข้อความยอมรับว่าความเห็นของเขาในเรื่องศาลนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีมูลความจริง
คำแถลงฉบับนี้บอกว่า เนื่องจาก ลี ไม่ได้กระทำตามข้อเรียกร้องเหล่านี้ภายในเวลาเส้นตายที่กำหนด นั่นคือ 09.00 น.วันศุกร์ (4) ตามเวลามาตรฐานกรีนิช (GMT) ซึ่งอันที่จริงก็เป็นการเลื่อนเวลาให้จากเส้นตายเดิมคือวันที่ 28 กรกฎาคม ตามคำขอของ ลี อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ทางสำนักงานจึงเดินหน้ายื่นฟ้องร้อง ลี ในข้อหาหมิ่นศาล ต่อศาลสิงคโปร์แล้ว
ก่อนหน้านี้ในวันศุกร์ (4) ลี กล่าวในเฟซบุ๊กว่า เขาได้แก้ไขข้อความเดิมที่เขาโพสต์ในวันที่ 15 กรกฎาคม เพื่อทำความชัดเจนให้แก่ความเข้าใจผิดใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น อย่างไรก็ดี เขากล่าวว่าเขาไม่เชื่อว่าสิ่งที่เขาโพสต์นี้เป็นการกระทำความผิดฐานหมิ่นศาล
ข้อความที่ ลี โพสต์ในวันที่ 15 กรกฎาคมนั้น อยู่ในกรอบเงื่อนไขที่ให้ดูได้เฉพาะผู้ที่เขารับเป็น “เพื่อน” (friends) ทางเฟซบุ๊กของเขาเท่านั้น เขากล่าวเพิ่มเติมเมื่อวันศุกร์ (4) ความตั้งใจของเขาในการโพสต์ข้อความดังกล่าวก็คือ เพื่อถ่ายทอดให้เห็นว่า “พวกสื่อระหว่างประเทศถูกจำกัดความสามารถของพวกเขาในการรายงานข่าว” เรื่องการวิวาทบาดหมางกันระหว่างนายกฯลี กับน้องชายและน้องสาวของเขา “สืบเนื่องจากความเป็นพวกชอบค้าความ” ของรัฐบาลสิงคโปร์
“ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะโจมตีระบบศาลของสิงคโปร์ หรือที่จะบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของสาธารณชนซึ่งมีต่องานบริหารจัดการความยุติธรรม” ของสิงคโปร์ เขากล่าว
การทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างนายกฯลี กับน้องชายและน้องสาว ซึ่งล้วนแต่เป็นลูกๆ ของลี กวนยู ได้ปะทุบานปลายกลายเป็นที่รับรู้ของสาธารณชนเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยประเด็นปัญหาคือจะจัดการอย่างไรกับบ้านของครอบครัว ซึ่งลี กวนยู ได้พำนักอาศัยอยู่อย่างยาวนานในช่วงชีวิตของเขาตราบจนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมในวัย 91 ปีเมื่อปี 2015
ลี เซียนหยาง และน้องสาว คือ ลี เว่ยหลิง กล่าวหา ลี เซียนลุงว่า ใช้อำนาจอย่างมิชอบในการพยายามรักษาบ้านหลังนี้เอาไว้และทำเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ ทั้งๆ ที่บิดาของพวกเขาได้แสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการเช่นนั้นและปรารถนาให้รื้อทิ้งบ้านเสีย เรื่องนี้ทำให้นายกฯลีถึงกับต้องขอให้นัดประชุมสภาสมัยวิสามัญในเดือนกรกฎาคม เพื่อ “ชี้แจงทำความเข้าใจ” เกี่ยวกับประเด็นนี้ ซึ่งบางคนบางฝ่ายบอกว่าได้สร้างความแปดเปื้อนให้แก่ภาพลักษณ์ของสิงคโปร์