เอเอฟพี - คูเวตในวันพฤหัสบดี (20 ก.ค.) ขับไล่คณะทูตอิหร่านและเปิดสำนักงานด้านการทูตบางแห่ง หลังศาลฎีกาของประเทศตัดสินว่าเครือข่ายก่อการร้ายกลุ่มหนึ่งมีความเชื่อมโยงกับเตหะราน
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น แม้ว่า คูเวต ที่ปกครองโดยราชวงศ์สุหนี่ กำลังพยายามเป็นคนกลางยุติวิกฤตด้านการทูตเลวร้ายที่สุดในรอบหลายปีของอ่าวเปอร์เซีย หลังเหล่ามหาอำนาจของภูมิภาคอย่างซาอุดีอาระเบียและพันธมิตรอาหรับ ตัดความสัมพันธ์กับกาตาร์เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ซาอุดีอาระเบียและพันธมิตรอาหรับ ตัดความสัมพันธ์กับกาตาร์ หลังกล่าวหาโดฮามีความใกล้ชิดอิหร่านมากเกินไปและสนับสนุนเงินทุนแก่พวกหัวรุนแรง ข้อกล่าวหาที่กาตาร์ปฏิเสธ
เมื่อเดือนที่แล้ว ศาลฎีกาคูเวตพิพากษาลงโทษผู้ต้องหา 21 คนที่เป็นสมาชิกของเครือข่ายหนึ่งซึ่งจัดตั้งและฝึกฝนโดยกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติของอิหร่าน “อิหร่านให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนสมาชิกของเครือข่าย” กระทรวงการต่างประเทศคูเวตระบุในถ้อยแถลงวันพฤหัสบดี (20 ก.ค.)
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนามบอกกับเอเอฟพีว่าคณะทูตของอิหร่านราว 15 คนถูกเนรเทศ อย่างไรก็ตามเขาปฏิเสธยืนยันว่าเอกอัครราชทูตอิหร่านเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกสั่งให้ออกนอกประเทศหรือไม่
ในขณะเดียวกัน คูเวตยังได้สั่งปิดสำนักงานด้านการทหาร วัตนธรรมและการค้าของอิหร่านด้วย ความเคลื่อนไหวต่างๆ นานาที่กระตุ้นให้อิหร่านเรียกอุปทูตของคูเวตเข้าชี้แจง
ศาลฏีกาคูเวตพิพากษาเมื่อเดือนที่แล้ว ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตผู้บงการเครือข่าย ส่วนอีก 20 คนที่เหลือได้รับโทษแตกต่างกันออกไป ตามข้อหาเกี่ยวข้องกับอิหร่านและฮิซบอลเลาะห์ กลุ่มนักรบชีอะห์เลบานอน รวมถึงวางแผนโจมตีก่อการร้ายในคูเวต
คำสั่งไล่ทูตมีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดที่ลุกลามในอ่าวเปอร์เซีย จากวิกฤตการทูตระหว่างกาตาร์กับ 4 ชาติอาหรับ อย่างซาอุดีอาระเบีย, บาห์เรน, ยูเออี และอียิปต์ ในขณะที่ คูเวต ไม่ได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรกับ กาตาร์ และวางสถานะตนเองเป็นคนกลางในวิกฤตครั้งนี้
เจ้าหน้าที่คูเวตเข้าทลายกลุ่มที่พวกเขาเรียกว่าเป็นเครือข่ายก่อการร้ายที่มีความเชื่อมโยงกับอิหร่านในเดือนสิงหาคม 2015 พร้อมกับยึดอาวุธปืน กระสุนและระเบิดได้จำนวนมาก
สมาชิกของเครือข่ายถูกตัดสินว่าทำงานให้กับกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติของอิหร่านและฮิซบอลเลาะห์ของเลบานอน นอกจากนี้ยังถูกพิพากษาว่ามีความผิดฐานลักลอบขนระเบิดมาจากอิหร่าน
กระทรวงมหาดไทยคูเวตเปิดเผยเมื่อวันอังคาร (18 ก.ค.) ว่าผู้ถูกตัดสินว่ามีความผิด 14 คนยังคงหลบหนีอยู่ โดยสื่อมวลชนท้องถิ่นระบุว่าพวกเขาขึ้นเรือหลบหนีไปทางทะเลมุ่งสู่อิหร่าน
เครือข่ายนี้ถูกศาลชั้นต้นตัดสินว่ามีความผิดเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว แต่อีกหลายเดือนต่อมา ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาทำให้พวกเขาเป็นอิสระ ก่อนที่ศาลฎีกาซึ่งเป็นผู้ตัดสินชั้นสุดท้าย จะกลับคำพิพากษาอีกรอบเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน โดยลงโทษจำคุกพวกเขาระหว่าง 5 ปีถึง 15 ปี