เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร แห่งเวเนซุเอลา ประกาศในวันพุธ (28 มิ.ย.) กวาดล้างกลุ่มที่พยายามก่อรัฐประหาร และตามล่าตำรวจนอกแถวที่ขโมยเฮลิคอปเตอร์ไปทิ้งระเบิดมือใส่ศาลสูงสุด แถมกราดยิงกระทรวงมหาดไทย อย่างไรก็ดี เริ่มมีเสียงโจษจันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะเป็นการจัดฉากของรัฐบาล เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและหาข้ออ้างในการปราบปรามผู้ต่อต้าน
มาดูโรออกมาแถลง และสั่งกองทัพเตรียมพร้อมหลังการโจมตีดังกล่าว รวมทั้งให้เร่งตามล่าผู้ก่อเหตุเมื่อตอนเย็นวันอังคาร (27) ซึ่งคือ ออสการ์ เปเรซ วัย 36 ปี นักบินของสำนักงานตำรวจที่ผันตัวเองเป็นนักแสดง โดยหลังเหตุการณ์ดังกล่าว เปเรซ ได้เผยแพร่ทางคลิปออนไลน์
ทั้งนี้ ในคลิปเขายืนอยู่ท่ามกลางชายชุดดำสวมหมวกแบบคลุมปิดใบหน้า 4 คน ซึ่ง 2 ใน 4 คนนั้นถือปืนกล และอ่านแถลงการณ์อ้างว่า ตนเองเป็นตัวแทนของทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนที่ต่อต้านรัฐบาลอาชญากร และต้องการให้มาดูโรลาออกเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่
นอกจากทำงานเป็นตำรวจแล้ว เมื่อสองปีที่แล้ว เปเรซยังร่วมสร้างและรับบทนำในหนังแอ็กชั่นเรื่องหนึ่ง และมักโพสต์ภาพตัวเองถืออาวุธบนโซเชียลมีเดียอยู่เนืองๆ
ตลอดหลายเดือนมานี้ มาดูโรต้องเผชิญกระแสเรียกร้องให้ลาออกจากฝ่ายค้าน และประชาชนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เขายังคงฝ่าฟันมาได้จนถึงวันนี้ เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากผู้บัญชาการระดับสูงในกองทัพ
แม้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ แต่ มาดูโร ระบุว่า การโจมตีของเปเรซเป็นการก่อการร้าย และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของพวกฝ่ายขวาที่ต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อโค่นล้มรัฐบาล
ต่อมา รองประธานาธิบดี ทาเร็ค เอล-อิสซามิ แจ้งว่า มีผู้พบเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้ในการโจมตีสำนักงานศาลสูงสุดและกระทรวงมหาดไทย ในเมืองออสมา ใกล้กรุงการากัส แต่ยังไม่พบร่องรอยของเปเรซ
มาดูโร สำทับว่า เปเรซเคยเป็นนักบินของ มิเกล โรดริเกซ ทอร์เรซ อดีตรัฐมนตรีมหาดไทย และผู้อำนวยการข่าวกรองในยุคอดีตประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวซ และสมัยของมาดูโรเอง ทั้งนี้ โรดริเกซเพิ่งประกาศตัดขาดกับรัฐบาลมาดูโรเมื่อเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ ผู้นำเวเนซุเอลา ยังกล่าวหาว่า เปเรซเกี่ยวข้องกับสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ)
ด้านโรดริเกซให้สัมภาษณ์เมื่อวันพุธ (28) ว่า ไม่เชื่อว่า การโจมตีเมื่อวันอังคารเป็นเรื่องจริง และตั้งข้อสังเกตว่า ชายสี่คนในคลิปแถลงการณ์ของเปเรซดูเหมือนหุ่น อีกทั้งยังน่าแปลกใจที่เฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวบินได้อย่างเสรีโดยไม่ถูกขัดขวาง แถมยังไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บในการโจมตี
โรดริเกซ สรุปว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นโชว์ต้นทุนต่ำที่มาดูโรหวังผล เพื่อให้ข้ออ้างเรื่องการรัฐประหารมีน้ำหนัก และเพื่อโยนความผิดให้ตัวเขา
สำหรับพวกผู้นำแนวร่วมฝ่ายค้าน MUD บอกว่า ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะแสดงความคิดเห็น และตั้งข้อสังเกตว่า บางคนบอกว่า เหตุการณ์โจมตีเมื่อวันอังคารเป็นการจัดฉาก บ้างว่า เป็นเรื่องจริง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ที่แน่ๆ คือ สถานการณ์ในเวเนซุเอลาไร้เสถียรภาพอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดจนถึงวันพุธ มีผู้เสียชีวิตแล้ว 79 คน ในเหตุการณ์ประท้วงรายวันบนถนนที่ดำเนินมาถึง 3 เดือน เพื่อต่อต้านมาดูโร ที่ถูกกล่าวหาว่า เป็นต้นเหตุของวิกฤตการขาดแคลนอาหาร ยา และสิ่งจำเป็นพื้นฐานอื่นๆ อีกมากมาย
อย่างไรก็ดี โรซิโอ ซาน มิเกล ผู้เชี่ยวชาญด้านกิจการกลาโหม เชื่อว่า ไม่มีแนวโน้มที่ทหารจะลุกขึ้นมาทำรัฐประหาร
ก่อนหน้านี้ สัปดาห์ที่แล้ว มาดูโรได้เปลี่ยนตัวผู้บัญชาการกองทัพบก กองทัพเรือ ศูนย์บัญชาการยุทธศาสตร์ส่วนกลาง และสำนักงานตำรวจ
ดิเอโก โมยา-โอแคมปัส นักวิเคราะห์ในเวเนซุเอลาของกลุ่มวิจัยทางเศรษฐกิจ ไอเอชเอส มาร์กิต ที่มีฐานอยู่ในลอนดอน ชี้ว่า เป็นไปได้ว่า การโจมตีด้วยเฮลิคอปเตอร์เป็นการจัดการของรัฐบาลเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ หรือยั่วยุให้เกิดปฏิกิริยาในหมู่นายทหารระดับกลางเพื่อปูทางในการล้างไพ่กองกำลังความมั่นคงต่อ
ขณะเดียวกัน เมื่อวันพุธ ศาลสูงสุดสั่งอายัดทรัพย์และห้าม หลุยซา ออร์เตกา อัยการสูงสุด เดินทางออกนอกประเทศ หลังจากออร์เตกากล่าวหามาดูโรสร้างบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัว
ศาลสูงสุด ซึ่งอยู่ฝ่ายเดียวกับมาดูโร กำหนดไต่สวนในวันที่ 4 เดือนหน้าเพื่อพิจารณา ว่า ออร์เตกาต้องถูกดำเนินคดีฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่
นอกจากนั้น เมื่อวันอังคาร มาดูโร ยังประกาศจับกุมฝ่ายตรงข้าม 5 คน โดยกล่าวหาว่า วางแผนโค่นล้มตนเพื่อปูทางให้อเมริการุกรานเวเนซุเอลา
ซามูเอล มอนคาดา รัฐมนตรีต่างประเทศ ยังแสดงความไม่พอใจว่า หลายประเทศ “นิ่งเฉย” ต่อแผนการก่อรัฐประหารในเวเนซุเอลา
ทั้งนี้ นานาชาติเรียกร้องให้มีการแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ในเวเนซุเอลา หลังจากการเจรจาที่สำนักวาติกันให้การสนับสนุนล่มลงเมื่อปีที่แล้ว
แคเทอลีน เรย์ โฆษกสหภาพยุโรป (อียู) แถลงว่า เหตุการณ์เมื่อวันอังคารฟ้องว่า สถานการณ์ในเวเนซุเอลาพัฒนาความตึงเครียด และความรุนแรงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง และบรัสเซลส์คาดหวังว่า ทุกฝ่ายจะช่วยกันยุติความรุนแรงและหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง