เอเจนซีส์ - อเมริกาบีบจีนเพิ่มแรงกดดันต่อเกาหลีเหนือทั้งด้านเศรษฐกิจและการทูต ขณะที่ปักกิ่งยังยืนกรานสนับสนุนแนวทางคู่ขนานที่อเมริกาต้องระงับการซ้อมรบร่วมกับเกาหลีใต้ แลกกับการที่โสมแดงระงับโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธ ด้านเปียงยางยังไม่มีอาการเดือดเนื้อร้อนใจหลังการตายของนักศึกษาอเมริกัน “ออตโต วอร์มเบียร์” ซ้ำเรียกทรัมป์ว่า “โรคจิต”
หนังสือพิมพ์โรดอง ซินมุนของทางการเปียงยางฉบับวันพฤหัสบดี (22 มิ.ย.) ระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังอยู่ใน “สถานการณ์ยากลำบาก” ในประเทศ และพยายามเบี่ยงเบนความสนใจจากวิกฤตการเมืองของตัวเองด้วยการป่าวประกาศแนวคิดในการโจมตีเกาหลีเหนือก่อน
บทบรรณาธิการของโรดองยังเตือนเกาหลีใต้ว่า การเดินตามคนโรคจิตอย่างทรัมป์รังแต่จะนำไปสู่หายนะ
ทั้งนี้ การระดมทดสอบนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือนับจากปีที่แล้วทำให้สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีตึงเครียดอย่างหนัก และการเสียชีวิตของวอมเบียร์ นักศึกษาอเมริกันที่เปียงยางเพิ่งปล่อยกลับบ้านหลังคุมขังในคุกนาน 17 เดือน ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างโสมแดงกับวอชิงตันร้าวฉานยิ่งขึ้น
ทรัมป์ประณามเปียงยาง “อำมหิต” และประกาศว่า จะป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมแบบนี้เกิดขึ้นอีกด้วยการปกป้องผู้บริสุทธิ์ไม่ให้ตกอยู่ในเงื้อมมือระบอบที่ไม่เคารพหลักนิติธรรมหรือหลักปฏิบัติพื้นฐานของมนุษย์อย่างเกาหลีเหนือ
ด้านประธานาธิบดีมุน แจอิน ของเกาหลีใต้ที่มีกำหนดเยือนทำเนียบขาวในสัปดาห์หน้า ให้สัมภาษณ์ในทำนองเดียวกันว่า เปียงยางต้องรับผิดชอบการเสียชีวิตของวอร์มเบียร์ และว่า เกาหลีเหนือกลายเป็นระบอบที่ไร้เหตุผลไปแล้ว
นอกจากนี้ วอชิงตันยังเดินหน้าบีบจีนให้เพิ่มความกดดันต่อเกาหลีเหนือทั้งด้านเศรษฐกิจและการทูต
ในวันพุธ (21) เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวระหว่างแถลงข่าวร่วมกับรัฐมนตรีกลาโหม จิม แมตทิส ว่า อเมริกาได้ย้ำกับจีนว่า จีนมีความรับผิดชอบทางการทูตในอันที่จะเพิ่มความกดดันทางเศรษฐกิจและการทูตต่อเกาหลีเหนือ และว่า ทรัมป์จะเดินทางเยือนจีนในปีนี้ ขณะที่แมตทิสสำทับว่า สองประเทศเห็นพ้องในการขยายความสัมพันธ์ทางการทหาร ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณว่า คณะบริหารชุดใหม่ของสหรัฐฯ ตัดสินใจเดินหน้าปรับปรุงสัมพันธภาพกับจีนต่อแม้มีความไม่พอใจปักกิ่งเกี่ยวกับประเด็นเปียงยางก็ตาม
การแถลงข่าวดังกล่าวมีขึ้นภายหลังการหารือระหว่างทิลเลอร์สันและแมตทิส กับหยาง เจียฉือ มนตรีแห่งรัฐของจีน และพลเอก ฝาง เฟิงฮุย เสนาธิการใหญ่ของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ซึ่งนอกจากเรื่องเกาหลีเหนือแล้ว ยังมีการพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ในทะเลจีนใต้ด้วย
ระหว่างการหารือ ทิลเลอร์สันยังเรียกร้องให้จีนปราบปรามกิจกรรมผิดกฎหมายที่เป็นช่องทางรายได้สนับสนุนโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ และบอกว่า จีนเห็นพ้องว่า บริษัทจีนและสหรัฐฯ ไม่ควรทำธุรกิจกับนิติบุคคลเกาหลีเหนือที่ถูกแซงก์ชัน
รัฐมนตรีต่างประเทศแดนอินทรีย้ำความจำเป็นในการทำลายแหล่งรายได้ของเปียงยาง ซึ่งรวมถึงการฟอกเงิน การส่งออกแรงงาน และการเจาะระบบคอมพิวเตอร์
ทั้งนี้ จีน ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของเกาหลีเหนือ ถูกกล่าวหาว่า ไม่บังคับใช้มาตรการแซงก์ชันซึ่งเป็นมติของสหประชาชาติอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังขัดขวางการเพิ่มมาตรการลงโทษโสมแดง ขณะที่วอชิงตันกำลังพิจารณา “มาตรการลงโทษขั้นทุติยภูมิ” ต่อธนาคารจีนและบริษัทจีนที่ติดต่อค้าขายกับเกาหลีเหนือ
ทรัมป์นั้นฝากความหวังว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงจะใช้อิทธิพลของจีนช่วยกดดันเกาหลีเหนือให้ระงับโครงการขีปนาวุธและนิวเคลียร์
ทว่า เมื่อวันอังคาร (20) หรือหนึ่งวันหลังการเสียชีวิตของวอร์มเบียร์ที่เพิ่งเดินทางถึงอเมริกาในสภาพโคมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์กลับทวิตว่า แม้ชื่นชมกับความพยายามของสีและจีนในการจัดการกับเกาหลีเหนือ แต่ดูเหมือนการกระทำดังกล่าวยังไม่ได้ผล
แมตทิสพยายามแก้ต่างว่า ทวิตของทรัมป์มาจาก “ความคับข้องใจ” กับการยั่วยุของเปียงยาง รวมทั้งการเสียชีวิตของวอร์มเบียร์
นอกจากนั้น ในวันพุธ(21) ทรัมป์ยังปรับปรุงถ้อยคำระหว่างที่เขาไปปราศรัยในรัฐไอโอวาว่า อเมริกามีความสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่กับจีน และตนชื่นชมประธานาธิบดีสีจริงๆ
ทางด้านจีนนั้น กระทรวงการต่างประเทศในปักกิ่งเมื่อวันพฤหัสบดี (22) ได้ออกคำแถลงฉบับหนึ่งกล่าวว่า คณะผู้แทนของจีนที่หารือกับทิลเลอร์สันและแมตทิสยังย้ำจุดยืนคัดค้านการติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธขั้นสูง “ทาด” ในเกาหลีใต้ และสนับสนุนแนวทางคู่ขนานคือ เกาหลีเหนือระงับกิจกรรมด้านนิวเคลียร์และขีปนาวุธ ขณะที่อเมริกาและเกาหลีใต้ระงับการร่วมซ้อมรบขนาดใหญ่
ส่วนโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน เกิ่ง ส่วง กล่าวในการแถลงข่าวตามปกติที่กรุงปักกิ่งในวันเดียวกันว่า จีนนั้นไม่ใช้วิธี “ที่เรียกกันว่าการกดดันทางเศรษฐกิจหรือทางการทูต” ในการมีปฏิสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ
“สิ่งที่เราทำก็คือการพัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรและการร่วมมือกัน บนพื้นฐานของหลัก 5 ประการแห่งการอยู่ร่วมกันโดยสันติ” เกิ่งบอก