เอเอฟพี – กองทัพออสเตรเลียระบุในวันนี้ (20) ว่า พวกเขากำลังระงับภารกิจทางอากาศเหนือซีเรียชั่วคราว ภายหลังกองทัพสหรัฐฯยิงเครื่องบินขับไล่ของซีเรียตก
การตัดสินใจนี้มีขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดเพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯและรัสเซียซึ่งเตือนว่าพวกเขาจะติดตามเครื่องบินกลุ่มพันธมิตรในซีเรียในฐานะ “เป้าหมาย” และระงับสายด่วนทางทหารกับวอชิงตันจากเหตุการณ์ดังกล่าว
“เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน ปฏิบัติการโจมตีของกองกำลังป้องกันออสเตรเลีย (เอดีเอฟ) ในซีเรียจะยุติลงชั่วคราว” โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวในถ้อยแถลง
ไม่มีการแจ้งเหตุผลสำหรับการระงับ แต่หนังสือพิมพ์ ดิ ออสเตรเลีย ระบุว่า มันถูกบังคับใช้ในฐานะการป้องกันไว้ก่อนหลังจากการตกของเครื่องบินขับไล่ลำดังกล่าว
“เจ้าหน้าที่เอดีเอฟกำลังติดตามสถานการณ์ทางอากาศในซีเรียอย่างใกล้ชิดและการตัดสินใจเริ่มปฏิบัติการทางอากาศของเอดีเอฟในซีเรียใหม่อีกครั้งจะมีขึ้นในเวลาที่เหมาะสม” โฆษกกล่าวเสริม
“ปฏิบัติการของเอดีเอฟในอิรักจะดำเนินต่อไปในฐานะส่วนหนึ่งของกลุ่มพันธมิตร”
สหรัฐฯเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อจำกัดไม่ให้สถานการณ์บานปลายภายหลังเครื่องบินลำดังกล่าวถูกยิงตกเมื่อเย็นวันอาทิตย์ (18) หลังกองกำลังรัฐบาลโจมตีกองกำลังประชาธิปไตยซีเรียที่สหรัฐฯหนุนหลัง กลุ่มพันธมิตรของนักรบชาวอาหรับและเคิร์ดที่ต่อสู้กับไอเอส
นายพลระดับสูงของสหรัฐฯระบุว่า สหรัฐฯจะดำเนินการเพื่อเปิดสายด่วน “เลี่ยงการปะทะ” ที่จัดทำขึ้นในปี 2015 ใหม่อีกครั้ง หลังจากรัสเซียระบุว่า วอชิงตันล้มเหลวในการใช้ช่องทางดังกล่าวก่อนที่จะโจมตีเครื่องบินซีเรียใกล้รอกเกาะห์
ออสเตรเลียเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพันธมิตรที่ต่อสู้กับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในอิรักและในปฏิบัติการทางอากาศในซีเรีย และมีเจ้าหน้าที่ทหารประจำการในตะวันออกกลางทั้งสิ้น 780 คน
เมื่อเดือกันยายนพันธมิตรเก่าแก่ของสหรัฐฯรายนี้ระบุว่า พวกเขาจะเพิ่มขอบเขตเป้าหมายในปฏิบัติการทางอากาศต่อกลุ่มไอเอสด้วยการอนุญาตให้นักบินโจมตีทรัพยากรสนับสนุนและทรัพยากรด้านโลจิสติกส์ของนักรบญิฮาดในอิรักและซีเรีย
กลุ่มปฏิบัติการทางอากาศ (Air Task Group) ของออสเตรเลียประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 300 คน เครื่องบินขับไล่ F/A-18 Hornets จำนวน 6 ลำ เครื่องบินเตือนภัยกลางอากาศ (E-7A Wedgetail Airborne Early Warning and Control Aircraft) และเครื่องบินขนส่งอเนกประสงค์ (KC-30A Multi-Role Tanker and Transport Aircraft)