เอเอฟพี - กลุ่มนักรบซีเรียที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนสามารถบุกทะลวงเข้าไปถึงตัวเมืองร็อกเกาะห์ (Raqa) เมื่อวานนี้ (6 มิ.ย.) และเตรียมปฏิบัติการจู่โจมครั้งสุดท้ายเพื่อขับไล่กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ออกไปจาก “เมืองหลวง” ของรัฐคอลีฟะห์ที่ถูกตั้งขึ้นในซีเรีย
ภารกิจชิงคืนเมืองร็อกเกาะห์ ศูนย์กลางดินแดนของไอเอส ใช้เวลาเตรียมการนานถึง 7 เดือน โดยมีกลุ่มพันธมิตรสหรัฐฯ ช่วยสนับสนุนด้านการโจมตีทางอากาศ ที่ปรึกษาทหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์
หลังถูกนักรบญิฮาดบุกเข้ายึดครองในปี 2014 ร็อกเกาะห์ก็ได้กลายเป็นศูนย์บัญชาการกลางสำหรับปฏิบัติการของไอเอสทั้งในซีเรีย อิรัก และสถานที่อื่นๆ
ไอเอสได้กระทำการอันป่าเถื่อนหลายต่อหลายครั้งในเมืองแห่งนี้ ทั้งการสังหารหมู่ประชาชนแล้วนำศพมาประจาน รวมถึงลักพาตัวผู้หญิงไปขาย
ร็อกเกาะห์ยังเป็นหนึ่งใน 2 เมืองหลักของรัฐคอลีฟะห์คู่กับ “โมซุล” ในอิรัก ซึ่งเวลานี้กองทัพแบกแดดสามารถชิงคืนพื้นที่ได้เกือบทั้งหมดแล้ว
กองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย (SDF) ที่มีสหรัฐฯ หนุนหลังประกาศวานนี้ (6) ว่า พวกเขาสามารถเข้าไปถึงเขตตัวเมืองร็อกเกาะห์ได้เป็นครั้งแรก หลังทำการปิดล้อมเมืองทางฝั่งตะวันออก เหนือ และตะวันตกอยู่นานหลายเดือน
“กองกำลังของเราเข้าไปในเมืองร็อกเกาะห์ทางเขต อัล-เมชเลบ ด้านตะวันออก” รอจดา เฟลัต ผู้บัญชาการเอสดีเอฟแถลง พร้อมระบุว่าทางฝั่งเหนือยังมีการปะทะกับนักรบไอเอสอย่างรุนแรง
“นักรบของเรากำลังต่อสู้กับไอเอสบนท้องถนนในร็อกเกาะห์ และพวกเรามีประสบการณ์ในการทำสงครามในเมือง”
เอสดีเอฟ ยังอ้างว่า พวกเขาสามารถ “ทำลาย” หน่วยรบที่ภักดีต่อประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ระหว่างที่รุกคืบเข้าไปใกล้ๆ ย่านอัลตันฟ์ (Al-Tanf) ซึ่งหน่วยคอมมานโดของพันธมิตรสหรัฐฯ ได้เข้าไปฝึกยุทธวิธีและให้คำปรึกษาแก่กองกำลังต่อต้านไอเอส
สำนักข่าวแห่งชาติซีเรียอ้างแหล่งข่าวกองทัพซึ่งระบุว่า “เครื่องบินรบของกลุ่มพันธมิตรนานาชาติโจมตีฐานที่มั่นของทหารซีเรียบนถนนที่มุ่งสู่ อัล-ตันฟ์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และมีทรัพย์สินบางส่วนเสียหาย”
ด้านศูนย์สังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรียซึ่งมีฐานในกรุงลอนดอน รายงานว่า เหตุปะทะที่ อัล-เมชเลบ ส่งผลให้นักรบไอเอสต้องล่าถอยออกจากพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของเขตดังกล่าว ขณะที่กองกำลังเอสดีเอฟก็พยายามรุกต่อเข้าไปยังเขตอัล-อันดาลุส ทางตะวันตกเฉียงเหนือของร็อกเกาะห์ และยังมีการสู้รบเกิดขึ้นทางเหนือ ตะวันออก และตะวันตกของเมือง
กลุ่มพันธมิตรสหรัฐฯ เริ่มส่งเครื่องบินเข้าไปถล่มฐานที่มั่นไอเอสในอิรักตั้งแต่เดือน ส.ค. ปี 2014 และได้ขยายปฏิบัติการเข้าไปสู่ซีเรียในอีก 1 เดือนถัดมา
ทั้งนี้ ดูเหมือนสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกจะต้องการเผด็จศึกไอเอสทั้งในโมซุลและร็อกเกาะห์ให้สำเร็จ ก่อนที่ “รัฐคอลีฟะห์” ของพวกเขาจะมีอายุครบ 3 ปีในช่วงปลายเดือนนี้
พล.ท.สตีฟ ทาวน์เซนด์ ผู้บัญชาการกลุ่มพันธมิตรสหรัฐฯ ระบุว่า การหยิบยื่นความพ่ายแพ้ให้แก่ไอเอส “จะทำลายแนวคิดที่ว่าไอเอสมีความเป็นรัฐคอลีฟะห์ในทางกายภาพ” พร้อมเตือนว่าสงครามครั้งนี้อาจ “ยาวนานและยากลำบาก”
“เราได้เห็นกันแล้วว่า การโจมตีที่แมนเชสเตอร์โหดร้ายเพียงใด... ไอเอสเป็นภัยคุกคามต่อทุกประเทศ ไม่ใช่แค่อิรักหรือซีเรีย แต่รวมถึงบ้านเกิดเมืองนอนของเราทุกคน” เขากล่าว
หลังจากเปิดฉากยุทธการ “ความโกรธแค้นของยูเฟรติส” (Wrath of the Euphrates) เพื่อชิงเมืองร็อกเกาะห์คืนจากไอเอสเมื่อเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว กองกำลังเอสดีเอฟก็มีชัยชนะในส่วนอื่นๆ ของจังหวัดร็อกเกาะห์เรื่อยมา และสามารถยึดเมืองตับเกาะห์ (Tabqa) กับเขื่อนใหญ่ที่สุดของซีเรียไว้ได้เมื่อเดือน พ.ค.
ทาลาล เซลโล โฆษกเอสดีเอฟ ได้ประกาศเมื่อวานนี้ (6) ว่าการสู้รบเพื่อปลดปล่อยร็อกเกาะห์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างแท้จริง
“เราขอประกาศวันนี้ว่า สงครามครั้งใหญ่ได้เริ่มขึ้นแล้วเพื่อปลดปล่อยร็อกเกาะห์ ซึ่งถูกเรียกว่าเป็นเมืองหลวงของลัทธิก่อการร้าย” เซลโล แถลงต่อสื่อมวลชนที่หมู่บ้านฮาซิมาทางตอนเหนือของร็อกเกาะห์
“ด้วยการสนับสนุนจากเครื่องบินรบของกลุ่มพันธมิตรสหรัฐฯ และอาวุธอันทันสมัยที่ถูกส่งมาให้เรา เราจะชิงร็อกเกาะห์กลับคืนมาจากดาเอชให้ได้” เซลโล ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี โดยใช้คำว่า “ดาเอช” ซึ่งเป็นชื่อย่อของไอเอสในภาษาอาหรับ
เขายังฝากเตือนพลเรือนในร็อกเกาะห์ให้อยู่ห่างจากฐานที่มั่นของไอเอส และเขตแนวปะทะ
องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ได้แสดงความเป็นห่วงสวัสดิภาพของชาวซีเรียกว่า 400,000 คนในจังหวัดร็อกเกาะห์ซึ่งอาจจะติดอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบ
เมื่อวานนี้ (6) คณะกรรมการช่วยเหลือและกู้ภัยนานาชาติ (International Rescue Committee - IRC) ระบุว่า รู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยของพลเรือนซีเรียในร็อกเกาะห์ หลังจากพบว่ามีคนอพยพออกจากเมืองน้อยลงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งแปลว่า “ไอเอสอาจกำลังใช้ชาวบ้านราว 200,000 คนเป็นโล่มนุษย์”
สงครามกลางเมืองซีเรียซึ่งปะทุขึ้นจากการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลเมื่อเดือน มี.ค.ปี 2011 ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 320,000 คน ตลอดระยะเวลา 6 ปี