เอเอฟพี - ทำเนียบขาวยืนยันวานนี้ (5 มิ.ย.) ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่ใช้อำนาจขัดขวางอดีตผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) เจมส์ โคมีย์ จากการเข้าให้ปากคำต่อสภาคองเกรสในวันพฤหัสบดี (8 มิ.ย.) ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าอาจจะมีการเปิดเผยข้อมูลสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบหาความจริงเรื่องรัสเซียแทรกแซงเลือกตั้ง
สถานีโทรทัศน์หลายแห่งในอเมริกาเตรียมถ่ายทอดสดการเข้าให้ปากคำของ โคมีย์ ต่อคณะกรรมาธิการข่าวกรองแห่งวุฒิสภาในวันพฤหัสบดีนี้ (8) เพื่อให้ชาวอเมริกันได้รับชมพร้อมกันผ่านหน้าจอโทรทัศน์ ขณะที่บาร์หลายแห่งในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มีแผนเปิดให้บริการเร็วกว่าปกติในวันดังกล่าว เพื่อเอาใจลูกค้าที่ต้องการนั่งฟังข้อมูลเด็ดๆ จากอดีต ผอ.เอฟบีไอที่ถูก ทรัมป์ ปลดสายฟ้าแลบไปเมื่อวันที่ 9 พ.ค.
คำสั่งปลด โคมีย์ มีขึ้นในขณะที่เอฟบีไอกำลังตรวจสอบข้อครหาที่ว่าทีมหาเสียงของประธานาธิบดีอาจสมรู้ร่วมคิดกับรัสเซีย เพื่อแกว่งผลการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ เมื่อปี 2016 ให้เข้าทางของ ทรัมป์
ทั้งนี้ คาดว่า โคมีย์ จะถูก ส.ว.รีพับลิกัน และเดโมแครต ยิงคำถามมากมายเกี่ยวกับบริบทที่นำไปสู่การปลดเขาออกจากตำแหน่ง รวมถึงข้อกล่าวหาที่ว่า ทรัมป์ พยายามล็อบบี้ โคมีย์ ให้ยุติการสอบสวนผู้ช่วยคนสนิท
ว่ากันว่า โคมีย์ ได้จดบันทึกบทสนทนาระหว่างเขากับ ทรัมป์ ไว้อย่างละเอียด ซึ่งบันทึกข้อความดังกล่าวเป็นหลักฐานยืนยันว่า ผู้นำสหรัฐฯ เคยกดดันให้เอฟบีไอละเว้นการตรวจสอบความผิดของ ไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติคนแรกในรัฐบาลทรัมป์
ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวระบุว่า ทรัมป์ มีสิทธิใช้อำนาจบริหารพิเศษสั่งให้การหารือของประธานาธิบดีเป็นความลับที่ห้ามเปิดเผย ซึ่งผู้ช่วยบางคนก็เกรงว่า การทำเช่นนั้นจะยิ่งดูเหมือนทำเนียบขาวพยายามปกปิดข้อมูล
สำนักงานของ ทรัมป์ ได้ออกมาสยบการคาดเดาของสื่อเมื่อวานนี้ (5) โดยยืนยันว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์จะไม่ใช้อำนาจบริหารพิเศษกับการให้ปากคำของ เจมส์ โคมีย์”
ทำเนียบขาวระบุว่า “ประธานาธิบดีมีสิทธิที่จะใช้อำนาจพิเศษนั้นอย่างเต็มที่” และเชื่อว่าข้อมูลที่ โคมีย์ นำมาเปิดเผย “จะช่วยให้กระบวนการสืบหาความจริงเป็นไปอย่างรวดเร็วและละเอียดครอบคลุมยิ่งขึ้น”
หลังจากที่ โคมีย์ ถูกปลด กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ก็ได้แต่งตั้งอดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอ โรเบิร์ต มุลเลอร์ เป็น “ที่ปรึกษาพิเศษ” กำกับดูแลการสอบสวนเรื่องทรัมป์และรัสเซีย
มุลเลอร์ วัย 72 ปี ได้ชื่อว่าเป็นคนที่ทำงานอย่างอิสระและมีความรอบคอบสูง มีรายงานว่าเขาได้ไปพบ โคมีย์ เพื่อหารือเกี่ยวกับการสืบสวนคดีนี้ ขณะที่ โคมีย์ เองก็ได้ขอความเห็นชอบจาก มุลเลอร์ ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าให้ปากคำต่อสภาคองเกรส
ล่าสุด เว็บไซต์ ดิ อินเทอร์เซ็ป รายงานเมื่อวานนี้ (5) โดยอ้างข้อมูลจากเอกสารชั้น “ลับที่สุด” ของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (NSA) ซึ่งระบุว่า แฮกเกอร์จากหน่วยข่าวกรองทหารรัสเซียเคยพยายามเจาะซอฟต์แวร์ลงคะแนนเลือกตั้งของสหรัฐฯ หลายต่อหลายครั้ง ก่อนจะถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดี 8 พ.ย.ปีที่แล้ว
เอ็นเอสเอยังระบุถึงความเชื่อมโยงระหว่างปฏิบัติการแฮกข้อมูลครั้งหนึ่งกับศูนย์บัญชาการข่าวกรองหลักของกองทัพรัสเซีย (GRU) ซึ่งมุ่งโจมตีบริษัทเอกชนที่ให้บริการลงทะเบียนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง รวมถึงจัดส่งเครื่องไม้เครื่องมือให้แก่รัฐบาลท้องถิ่นทั่วสหรัฐฯ