รอยเตอร์ - สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ระบุชัดเจนวานนี้ (29 ธ.ค.) ว่าหน่วยข่าวกรองรัสเซียแทรกแซงกระบวนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016 พร้อมเผยแพร่รายงานที่ให้ข้อมูลเฉพาะเจาะจง เช่น ตัวอย่างรหัสคอมพิวเตอร์อันตราย (malicious code) ที่ถูกใช้ในปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่
รายงานความยาว 13 หน้ากระดาษที่เอฟบีไอและกระทรวงความมั่นคงแห่มาตุภูมิได้ร่วมกันจัดทำ ระบุว่า ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2015 เป็นต้นมา สำนักงานความมั่นคงกลางของรัสเซีย (FSB) ได้ส่งลิงก์อันตราย (malicious link) ไปยังผู้รับมากกว่า 1,000 คน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ รวมอยู่ด้วย (อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่นี่ http://bit.ly/2iuT8cp)
แม้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ และสำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ (ODNI) จะเคยออกมาแถลงเมื่อเดือน ต.ค. ว่ารัสเซียอยู่เบื้องหลังการแฮ็กข้อมูล ทว่ารายงานฉบับนี้ถือเป็นผลวิเคราะห์ด้านเทคนิคจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ให้รายละเอียดชัดเจนมากที่สุด และเป็นถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการฉบับแรกของเอฟบีไอด้วย
รัสเซียยืนกรานปฏิเสธข้อกล่าวหานี้มาโดยตลอด
รายงานจากเอฟบีไอถูกเผยแพร่ออกมาในวันเดียวกับที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ประกาศมาตรการแก้แค้นมอสโก ซึ่งรวมถึงการขับไล่นักการทูตรัสเซีย 35 คน และปิดสำนักงานการทูตของรัสเซีย 2 แห่งในรัฐนิวยอร์กและแมริแลนด์ ซึ่งสหรัฐฯ เชื่อว่าใช้สำหรับวัตถุประสงค์ด้านข่าวกรอง
สหรัฐฯ ยังมีมาตรการลงโทษต่อสำนักงานความมั่นคงกลางของรัสเซีย (FSB) และศูนย์อำนวยการข่าวกรองหลักของรัสเซีย (GRU) ด้วย
ทำเนียบเครมลินออกมาประณามท่าทีของสหรัฐฯ ว่าขัดต่อกฎหมาย พร้อมขู่จะตอบโต้ด้วยมาตรการที่ “เหมาะสมกัน”
รายงานของเอฟบีไอระบุว่า หน่วยงานและเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่เคยถูก FSB โจมตีนั้นยังรวมถึงคณะกรรมการพรรคเดโมแครตแห่งชาติ ซึ่งได้ถูกเจาะระบบซ้ำอีกครั้งเมื่อต้นปี 2016 โดยคราวนี้เป็นฝีมือของหน่วยข่าวกรองทหาร GRU
สิ่งที่เอฟบีไอเปิดเผยสอดคล้องกับข้อมูลจากบริษัทคอมพิวเตอร์เอกชน เช่น คราวด์สไตรก์ (CrowdStrike) ซึ่งรับหน้าที่ตรวจสอบการแฮ็กข้อมูลของคณะกรรมการพรรคเดโมแครตแห่งชาติ และองค์กรอื่นๆ ที่ตกเป็นเป้าหมาย
แหล่งข่าวใกล้ชิดระบุว่า ประชาคมข่าวกรองสหรัฐฯ เตรียมจะเผยแพร่ข้อมูลเชิงลึกยิ่งกว่านี้ ตามคำสั่งของประธานาธิบดี โอบามา ซึ่งขอให้ดำเนินการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้น ก่อนที่ตนจะอำลาตำแหน่งในเดือน ม.ค.
แกนนำพรรครีพับลิกันบางคนได้แสดงความไม่พอใจที่รัสเซียกล้าแทรกแซงการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ซึ่งแย้งกับจุดยืนของ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของพรรคที่พยายามเรียกร้องให้สังคม “ปล่อยวาง” เรื่องนี้เสีย
ข้อกล่าวหาแทรกแซงเลือกตั้งยังส่งผลให้ความสัมพันธ์วอชิงตัน-มอสโกตกต่ำลงเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น
ทรัมป์ ซึ่งจะสาบานตนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 ม.ค. ออกมากล่าววานนี้ (29) ว่า “ถึงเวลาแล้วที่ประเทศเราจะต้องก้าวต่อไปข้างหน้า เพื่อทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และดีกว่านี้”
มหาเศรษฐีชาวนิวยอร์กวัย 70 ปีเคยออกมาพูดชมประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียหลายครั้ง และเมื่อชนะศึกเลือกตั้งก็ยังคัดเลือกคนที่ค่อนข้างเป็นมิตรกับมอสโกมาดำรงตำแหน่งในรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงปฏิเสธข้อสรุปของหน่วยข่าวกรองที่กล่าวหาว่ารัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้ง
เอฟบีไอระบุว่า แฮกเกอร์รัสเซียสามารถเข้าถึงและขโมยข้อมูลละเอียดอ่อน รวมถึงอีเมลภายใน “ซึ่งน่าจะนำไปสู่การล้วงข้อมูลของผู้นำพรรคเดโมแครตหลายคน” ก่อนจะนำข้อมูลเหล่านั้นมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน
อย่างไรก็ตาม รายงานชิ้นนี้ไม่ได้ระบุรายชื่อองค์กรต่างๆ ที่ถูกแฮก และไม่ยืนยันข้อสรุปก่อนหน้านี้ของสำนักงานข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ) และเอฟบีไอที่ว่า รัสเซียพยายามแทรกแซงผลการเลือกตั้งเพื่อช่วยให้ ทรัมป์ ชนะ ฮิลลารี คลินตัน