xs
xsm
sm
md
lg

ความจริงอีกด้านของ‘เรื่องราวสยดสยอง’ใน‘เมืองอะเลปโป’ซึ่งฝ่ายตะวันตกมักหลงลืม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โรเบิร์ต ฟิสค์

(เก็บความจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ดิ อินดีเพนเดนซ์)

There is more than one truth to tell in the terrible story of Aleppo
By Robert Fisk
13/12/2016

เป็นความจริงที่ระบอบปกครองซีเรียมีพฤติการณ์โหดเหี้ยมเป็นบาปหนาสาหัสมากมายเหลือเกินติดตรึงอยู่ และเป็นการสมเหตุผลที่เราจะรู้สึกหวาดกลัวการที่พวกเขากำลังกลับเข้าครอบครองอะเลปโปตะวันออก อย่างไรก็ตาม ความจริงอีกด้านหนึ่งก็คือ กองกำลัง “ฝ่ายกบฏ” ที่โลกตะวันตกให้ความสนับสนุนอยู่นั้น หมายรวมครอบคลุมถึงพวกที่มีเกียรติประวัติความสยดสยองอย่างอัลกออิดะห์ด้วย

พวกนักการเมืองตะวันตก, “ผู้เชี่ยวชาญ”ชาวตะวันตก, และนักหนังสือพิมพ์ชาวตะวันตก กำลังจะรีบูตเรื่องเล่าของพวกเขากันอีกหนหนึ่งในช่วงวันสองวันข้างหน้า ในเมื่อตอนนี้กองทัพของบาชาร์ อัล-อัสซาด (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.independent.co.uk/topic/BasharAl-assad) ได้กลับเข้าควบคุมซีกตะวันออกของเมืองอะเลปโปได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว เรากำลังจะค้นพบว่าพลเรือน 250,000 คนซึ่งถูกระบุเรื่อยมาว่า “ติดกับ” อยู่ภายในเมืองนี้ จริงๆ แล้วมีจำนวนมากขนาดนั้นหรือเปล่า เรากำลังจะได้ยินได้ฟังมากมายยิ่งกว่านั้นนักหนาเสียอีกเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าทำไมพวกเขาจึงไม่สามารถที่จะผละจากไปเมื่อตอนที่รัฐบาลซีเรียและกองทัพอากาศรัสเซียเพิ่มการถล่มทิ้งระเบิดอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนเข้าใส่ซีกตะวันออกของนครแห่งนี้

และเราก็กำลังจะได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นอีกมากมายนักเกี่ยวกับ “พวกกบฏ” ผู้ซึ่งพวกเราในโลกตะวันตก –ทั้งสหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร, และเพื่อนมิตรนักตัดหัวมนุษย์ของพวกเราในแถบอ่าวเปอร์เซีย— กำลังให้ความสนับสนุนอยู่

ปรากฏว่าพวกเขา (กบฏ) เหล่านี้ นับรวมครอบคลุมไปถึงกลุ่มอัลกออิดะห์ (ดูเพิ่มเติมที่ http://www.independent.co.uk/topic/Al-Qaeda) หรือที่ใช้นามแฝงว่ากลุ่มจาบัต อัล-นุสรา (Jabhat al-Nusra ดูเพิ่มเติมที่ http://www.independent.co.uk/topic/jabhat-al-nusra) หรือที่ต่อมาเปลี่ยนไปใช้นามแฝงว่า กลุ่มจาบัต ฟาเตห์ อัล-ชาม (Jabhat Fateh al-sham ดูเพิ่มเติมที่ http://www.independent.co.uk/topic/jabhat-fateh-al-sham) นั่นคือ เป็น “พรรคพวก” (folk) (ถ้าหากจะใช้คำที่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช นิยมชมชอบ) ผู้ซึ่งประกอบอาชญากรรมต่อต้านมนุษยชาติในนครนิวยอร์ก, กรุงวอชิงตัน, และรัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 ยังจำกันได้ไหม “สงครามต่อสู้การก่อการร้าย” ? ยังจำกันได้ไหม “ปีศาจบริสุทธิ์” อัลกออิดะห์? ยังจำกันได้ไหมพวกเราที่อยู่ในสหราชอาณาจักร คำเตือนทั้งหลายทั้งปวงจากหน่วยงานความมั่นคงแสนน่ารักของพวกเรา ในเรื่องที่ว่าอัลกออิดะห์ยังคงสามารถเปิดการโจมตีแบบก่อการร้ายในกรุงลอนดอนได้นะ?

จำกันไม่ได้หรอก เมื่อในเวลานี้พวกกบฏ ซึ่งหมายรวมถึงอัลกออิดะห์ด้วย กลายเป็นผู้ที่กำลังต่อสู้อย่างกล้าหาญเพื่อพิทักษ์ป้องกันอะเลปโปตะวันออก เราจำกันไม่ได้—เนื่องจากกำลังมีการถักร้อยสานทอเรื่องเล่าขานอันทรงพลังเกี่ยวกับวีรกรรม, ประชาธิปไตย, และความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ระดมเข้ามาป้อนให้พวกเรา เป็นเรื่องราวของคนดี VS คนชั่ว ซึ่งชวนให้ใจเต้นแรงและโกหกพอๆ กับข้อกล่าวหาที่ว่า อิรักในยุคซัดดัม ฮุสเซน มี “อาวุธทำลายร้ายแรง” อยู่ในครอบครอง

ย้อนกลับไปในยุคซัดดัม ฮุสเซน (ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.independent.co.uk/topic/SaddamHussein) เมื่อตอนที่พวกเราสื่อมวลชนไม่กี่คนโต้แย้งว่า การรุกรานเข้าสู่อิรักอย่างผิดกฎหมายจะนำไปสู่ความวิบัติหายนะและความทุกข์ทรมานอย่างที่ไม่เผชิญกันมา และ โทนี่ แบลร์ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.independent.co.uk/topic/TonyBlair) กับจอร์จ ดับเบิลยู บุช กำลังพาพวกเราดิ่งลงไปยังเส้นทางมุ่งสู่นรกอเวจี— มันมีเรื่อง “การต้องทำตามหน้าที่” เข้ามาคอยมากดทับสื่อมวลชนอย่างพวกเราอยู่เสมอ ให้ต้องคอยสารภาพถึงความขยะแขยงที่มีต่อซัดดัมและระบอบปกครองของเขา สื่อมวลชนอย่างพวกเราจำเป็นต้องเตือนผู้อ่านมิได้ขาด ว่าซัดดัมนั่นคือหนึ่งใน 3 เสาหลักของ “แกนอักษะปีศาจ” (the Triple Pillars of the Axis of Evil “แกนอักษะปีศาจ” เป็นวลีที่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีอเมริกันในเวลานั้น ใช้ครั้งแรกในคำแถลงนโยบายประจำปีเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2002 โดยระบุชื่อ อิรัก, อิหร่าน, และเกาหลีเหนือ เป็น 3 ประเทศในแกนอักษะปีศาจนี้ ข้อมูลจาก Wikipedia --ผู้แปล)

ดังนั้น มาในคราวนี้ก็จะมีการร่ายมนตร์บทเดิมอันแสนคุ้นเคยกันอีกคำรบหนึ่ง เป็นมนตราที่เราต้องร่ายท่องกันซ้ำๆ ซากๆ อย่างน่าคลื่นไส้ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงไม่ต้องเจอกับอีเมลแสดงความเกลียดชังและการถูกสบประมาทใส่ความ ที่ทุกวันนี้จะถูกระดมกระหน่ำใส่ใครคนไหนก็ตามซึ่งกำลังหันเหออกจากเวอร์ชั่นว่าด้วยโศกนาฏกรรมซีเรียอันเป็นที่รับรองกันทว่าเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดฉกาจฉกรรจ์

ใช่ครับ บาชาร์ อัล-อัสซาด ได้กวาดล้างทำลายพื้นที่กว้างขวางหลายๆ พื้นที่ในเมืองใหญ่ๆ ของซีเรียอย่างโหดเหี้ยมในสงครามที่เขามุ่งปราบปรามพวกซึ่งปรารถนาจะโค่นล้มระบอบปกครองของเขา ใช่ครับ ระบอบปกครองดังกล่าวนั้นมีบาปหนาสาหัสมากมายเหลือเกินติดตรึงอยู่ในชื่อของมัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การใช้วิธีทรมาน, การประหารชีวิต, การจัดตั้งคุกลับ, การสังหารพลเรือน, และถ้าเรารวมเอาพวกกองกำลังนักเลงอันธพาลชาวซีเรียซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมแต่ในนามของระบอบปกครองนี้เข้าด้วยแล้ว บาปหนาสาหัสอีกอย่างหนึ่งที่จะต้องเพิ่มเข้ามาก็คือ การล้างเผ่าพันธุ์ในเวอร์ชั่นแสนสยดสยอง

ใช่ครับ เราควรหวาดกลัวว่าบรรดาคุณหมอผู้กล้าหาญของอะเลปโปตะวันออกตลอดจนประชาชนผู้ซึ่งพวกเขากำลังให้การดูแลรักษาอยู่ จะมีอันตรายถึงแก่ชีวิต ใครก็ตามที่ได้เห็นคลิปวิดีโอแสดงให้เห็นคนหนุ่มคนหนึ่งถูกผู้คนในหน่วยข่าวกรองของระบอบปกครองซีเรียนำตัวออกมาจากแถวของผู้ลี้ภัยที่กำลังหลบหนีออกจากอะเลปโปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ควรจะต้องหวาดกลัวแทนบรรดาผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางข้ามเข้าไปอยู่ในพื้นที่ของฝ่ายรัฐบาล และเราต้องจดจำเอาไว้ด้วยว่าสหประชาชาติได้รายงานเอาไว้อย่างขึงขังน่ากลัวเช่นไร ในเรื่องที่ได้รับแจ้งว่ามีพลเรือน 82 คน “ถูกสังหารหมู่” ในบ้านเรือนของพวกเขาเองในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม มันถึงเวลาแล้วที่จะบอกเล่าถึงความจริงในอีกด้านหนึ่งด้วย ความจริงที่ว่า “พวกกบฏ” จำนวนมากซึ่งเราในโลกตะวันตกกำลังให้การ สนับสนุนอยู่ (รวมทั้งนายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ ผู้ไร้ความหลักแหลมของเราได้ยกย่องสรรเสริญอย่างอ้อมๆ เมื่อตอนที่เธอไปประจบประแจงพวกนักฆ่าตัดหัวในอ่าวเปอร์เซียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว) จัดอยู่ในหมู่นักรบที่โหดเหี้ยมที่สุดและอำมหิตที่สุดในตะวันออกกลาง และขณะที่เรายังคงกำลังแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับความน่าสะพรึงกลัวของพวกไอซิส (ISIS เป็นคำย่อจากชื่อเดิมของกลุ่ม “รัฐอิสลาม” หรือ ไอเอส ซึ่งยังมีผู้นิยมใช้กันอยู่ –ผู้แปล) ระหว่างที่พวกเขาเข้ายึดครองเมืองโมซุล (เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโมซุลนั้นจริงๆ แล้วเหมือนกับในอะเลปโป(ตะวันออก) มาก ถึงแม้คุณจะไม่ได้คิดไปในทำนองนี้แน่นอน จากการอ่านเรื่องที่เขียนๆ กันออกมา) แต่เราก็กำลังจงใจเพิกเฉยต่อความประพฤติของพวกกบฏแห่งเมืองอะเลปโป

เมื่อสักสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง ผมได้สัมภาษณ์หนึ่งในครอบครัวชาวมุสลิมครอบครัวแรกๆ ซึ่งหลบหนีออกจากอะเลปโปตะวันออกระหว่างที่มีการประกาศหยุดยิงกันช่วงหนึ่ง ผู้เป็นพ่อของครอบครัวนี้เพิ่งได้รับแจ้งว่าน้องชายของเขาถูกพวกกบฏประหารชีวิต สืบเนื่องจากการที่ตัวเขาเดินทางข้ามแนวรบออกมาพร้อมกับภรรยาและลูก เขากล่าวประณามพวกกบฏว่าเป็นผู้สั่งปิดโรงเรียนต่างๆ และนำเอาอาวุธไปตั้งติดกับโรงพยาบาล โดยที่เขาไม่ได้มีอาการของการเป็นสมุนที่เชียร์ระบอบปกครองเลย เขากระทั่งชมเชยยกย่องพวกไอซิสด้วยซ้ำว่าประพฤติตัวดีในช่วงแรกๆ ของการถูกปิดล้อม

ประมาณเวลาเดียวกันนั้นเอง ทางด้านทหารซีเรียก็แสดงความเห็นกับผมเป็นการส่วนตัวถึงความเชื่อของพวกเขาที่ว่า ฝ่ายอเมริกันจะยินยอมให้ไอซิสถอนตัวออกจากเมืองโมซุล เพื่อจะได้ให้พวกนั้นหันกลับมาโจมตีระบอบปกครองในซีเรียกอีกครั้งหนึ่ง อันที่จริงแล้วมีนายพลอเมริกันคนหนึ่งได้แสดงความคิดเห็นออกมาแล้วด้วย ว่าเขาหวั่นเกรงว่ากองกำลังอาวุธท้องถิ่นชาวชีอะห์ของอิรัก อาจจะขัดขวางป้องกันพวกไอซิสที่ถอยออกมาจากโมซุล จนไม่สามารถหลบหนีข้ามชายแดนอิรักเข้าไปในซีเรีย

พวกไอซิสสามารถเคลื่อนผ่านออกมาได้จริงๆ ด้วยนะครับ กองกำลังของไอซิสขนาดใหญ่ทีเดียวที่ประกอบด้วยรถกระบะพร้อมฆ่าตัวตาย 3 แถวและผู้สนับสนุนติดอาวุธเป็นจำนวนหลายพันคน เพิ่งสามารถรวมกลุ่มกันข้ามทะเลทรายจากเมืองโมซุลในอิรัก (ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.independent.co.uk/topic/mosul) และจากเมืองร็อกเกาะฮ์ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.independent.co.uk/topic/raqqa) กับเมืองเดอีร์ เอซ-ซูร์ (Deir ez-Zour) ในภาคตะวันออกของซีเรีย แล้วบุกเข้ายึดเมืองพัลไมรา (Palmyra) อันสวยงามไปได้อีกครั้งหนึ่ง

ขอแนะนำนะครับว่าขอให้สังเกตให้ดีทีเดียว เกี่ยวกับวิธีรายงานข่าวของสื่อมวลชนของเราในเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาเดียวกัน 2 เหตุการณ์นี้ พาดหัวข่าวแทบทุกสื่อในวันนี้ (13 ธ.ค.) พูดถึงการ “เสีย” อะเลปโปให้แก่กองทัพซีเรีย ทั้งๆ ที่ถ้าอยู่ในสภาวการณ์อื่นๆ แล้ว แน่นอนทีเดียวว่าสื่อของเราจะต้องบอกว่ากองทัพรัฐบาลได้ “ยึดคืน” เมืองนี้จาก “ฝ่ายกบฏ” ขณะเดียวกันก็รายงานข่าวว่ากลุ่มไอซิสได้ “ยึดคืน” เมืองพัลไมรา ทั้งๆ ที่เมื่อ (คำนึงถึงพฤติการณ์เข่นฆ่าของกลุ่มนี้แล้ว) แน่นอนทีเดียวว่าสื่อของเราควรจะระบุว่า เมืองเก่าตั้งแต่ยุคโรมันแห่งนี้ได้ “เสีย” ไปอยู่ใต้การปกครองอันวิตถารวิปลาสของกลุ่มนี้อีกครั้งหนึ่งแล้ว

จะเลือกใช้คำอะไรนั้นมีความหมายมากนะครับ ผู้คนเหล่านี้ (ผมสันนิษฐานว่าสื่อของเราคงอยากจะเรียกว่าเป็น “พรรคพวก” (chap) ของเรากระมั่ง เมื่อพิจารณาจากคำบรรยายถึงนักรบญิฮาดกลุ่มนี้ที่ปรากฏในปัจจุบัน) คือผู้ซึ่งเมื่อตอนที่เข้ายึดครองเมืองนี้ได้รอบแรกในปีที่แล้ว ได้ตัดศีรษะนักวิชาการวัย 82 ปีผู้หนึ่งซึ่งพยายามที่จะพิทักษ์ปกป้องโบราณสถานยุคโรมันอันมีคุณค่า จากนั้นก็นำเอาแว่นตากลับมาสวมคืนศีรษะที่ถูกตัดออกจากตัวของเขา

ฝ่ายรัสเซียนั้นยอมรับเองว่าได้ส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิด 64 เที่ยวเพื่อสกัดขัดขวางกลุ่มไอซิสซึ่งกำลังบุกเข้ามาที่บริเวณด้านนอกของเมืองพัลไมรา ทว่าเมื่อพิจารณาจากกลุ่มฝุ่นตลบมากมายที่ต้องฟุ้งกระจายขึ้นมาจากการเคลื่อนตัวของขบวนยานยนต์ของไอซิส จึงเป็นที่น่าสงสัยข้องใจว่าทำไมกองทัพอากาศอเมริกันจึงไม่ได้เข้าร่วมการถล่มทิ้งระเบิดใส่กลุ่มทีระบุกันว่าเป็นศัตรูตัวร้ายกาจที่สุดของพวกเขาเหล่านี้? นี่ไม่มีเลย ทั้งนี้เนื่องจากด้วยเหตุผลบางประการ ไม่ว่าดาวเทียมของสหรัฐฯ หรือโดรนของสหรัฐฯ ตลอดจนหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ต่างก็มองไม่เห็นกองกำลังเหล่านี้ –เป็นการมองไม่เห็นทำนองเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับพวกเขา เมื่อตอนที่ไอซิสเคลื่อนขบวนยานยนต์ของรถกระบะพร้อมฆ่าตัวตายทำนองเดียวกันนี้เข้ามายึดเมืองพัลไมราเอาไว้ในรอบแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม 2015

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเมืองพัลไมรา เป็นตัวแทนแสดงถึงการเพลี่ยงพล้ำชนิดไม่บันเบาเลยของทั้งกองทัพซีเรียและฝ่ายรัสเซีย (ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.independent.co.uk/topic/palmyra) อย่างไรก็ดีมันก็เป็นความเพลี่ยงพล้ำเชิงสัญลักษณ์มากกว่าในเชิงการทหาร พวกเจ้าหน้าที่ซีเรียพูดกับผมในเมืองพัลไมราก่อนหน้านี้ในปีนี้ว่า ไม่มีวันยินยอมปล่อยให้พวกไอซิสกลับเข้ามาอีก ไม่เพียงเท่านั้น ในเมืองนี้ยังมีค่ายทหารรัสเซียอยู่แห่งหนึ่ง และเครื่องบินรัสเซียก็บินคุ้มกันอยู่เหนือศีรษะ วงดนตรีออร์เคสตราของรัสเซียวงหนึ่งเพิ่งเปิดการแสดงในท่ามกลางซากปรักหักพังยุคโรมันเพื่อเฉลิมฉลองการปลดปล่อยเมืองพัลไมราอยู่แท้ๆ

ดังนั้น มันเกิดอะไรขึ้น สถานการณ์จึงกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้? สิ่งที่อาจเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ กองทัพซีเรียเพียงแต่ไม่มีกำลังพลมากเพียงพอที่จะทำการพิทักษ์ปกป้องพัลไมรา ขณะที่กำลังรวบรวมกำลังเข้าประชิดปิดล้อมอะเลปโปตะวันออก

เมืองพัลไมรานั้นพวกเขาจะต้องตีกลับคืนมาได้แน่นอน และอย่างรวดเร็วด้วย ทว่าสำหรับ บาชาร์ อัล-อัสซาดแล้ว การยุติการปิดล้อมอะเลปโปได้หมายถึงว่า ไอซิส, อัล-นุสรา, อัลกออิดะห์ และกลุ่มแนวคิดซาลาฟิสต์อื่นๆ ทั้งหมดตลอดจนพวกพันธมิตรของพวกเขา ไม่สามารอ้างได้อีกต่อไปว่ามีฐานที่มั่นหรือก่อตั้งเมืองหลวง ขึ้นในเมืองใหญ่ๆ ซึ่งตั้งเรียงรายกลายเป็นแนวกระดูกสันหลังของซีเรีย เมืองเหล่านี้ได้แก่ ดามัสกัส, ฮอมส์ (Homs), ฮามา (Hama), และ อะเลปโป

ย้อนกลับมาพูดถึงเมืองอะเลปโปกันอีกครั้ง ถ้อยคำบรรยายทางการเมือง-ทางสื่อมวลชนอันแสนคุ้นเคยและบัดนี้ชวนให้เบื่อหน่ายเสียแล้วนั้น จำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนให้บังเกิดความสดใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง หลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ปรากฏให้เห็นชัดเจนมาหลายวันแล้ว ภายหลังจากเที่ยวประณามความชั่วช้าไร้ศีลธรรมของระบอบปกครองซีเรีย ขณะเดียวกับที่พยายามพูดอย่างกำกวมคลุมเครือเกี่ยวกับอัตลักษณ์และความป่าเถื่อนของพวกฝ่ายค้านรัฐบาลในอะเลปโป อยู่เป็นช่วงเวลาแรมเดือนทีเดียว เวลานี้พวกองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งหมด (ซึ่งกำลังสูดจมูกฟุดฟิดได้กลิ่นความพ่ายแพ้ของฝ่ายกบฎแล้ว) ก็เริ่มต้นเมื่อสักไม่กี่วันมานี้ ที่จะแพร่กระจายคำวิพากษ์วิจารณ์ของพวกเขาซึ่งครอบคลุมรวมถึงพวกนักรบผู้ทำการป้องกันอะเลปโปตะวันออกเอาไว้ด้วย

เอาสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN High Commissioner for Human Rights) มาเป็นตัวอย่างก็ได้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วหลังจากออกมาแถลงอย่างเคยๆ (และก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้อย่างสมบูรณ์แบบทีเดียว) ว่าด้วยความหวาดหวั่นเกี่ยวกับชะตากรรมของประชากรที่เป็นพลเรือนในอะเลปโปตะวันออกตลอดจนผู้ทำงานด้านการแพทย์ในพื้นที่เหล่านั้น รวมทั้งของพลเรือนซึ่งตกเป็นเป้าหมายแห่งการแก้แค้นของฝ่ายรัฐบาล ตลอดจน “ผู้ชายหลายร้อยคน” ซึ่งท่าท่าหายตัวไปภายหลังข้ามเส้นแบ่งแนวรบเข้ามายังพื้นที่ฝ่ายรัฐบาล จนเป็นที่เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว จู่ๆ องค์กรชำนัญพิเศษของสหประชาชาติแห่งนี้ก็แสดงความวิตกห่วงใยในเรื่องอื่นๆ ขึ้นมาด้วย

“ระหว่างเวลา 2 สัปดาห์หลังมานี้ แนวร่วมฟาตะห์ อัล-ชาม ฟรอนต์ (หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อัล-กออิดะห์) และกองกำลังอาบู อามารา (Abu Amara Battalio) ถูกกล่าวหาว่าได้ลักพาตัวและสังหารพลเรือนไม่ทราบจำนวน โดยที่พลเรือนเหล่านี้ได้ขอร้องให้กองกำลังอาวุธเหล่านี้ถอยออกไปจากย่านที่อยู่อาศัยของพวกเขา เพื่อเป็นการรักษาชีวิตของพลเรือน ...” สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติแถลงเช่นนี้

“เรายังได้รับรายงานหลายชิ้นที่ระบุว่า ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน ถึง 1 ธันวาคม กลุ่มฝ่ายค้านติดอาวุธหลายกลุ่มได้ยิงใส่พลเรือนซึ่งพยายามที่จะผละจากไป” ยิ่งไปกว่านั้น ได้เกิด “การโจมตีอย่างไม่มีการจำแนกแยกแยะ” ต่อพื้นที่ซึ่งมีพลเรือนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากในซีกตะวันตกซึ่งรัฐบาลยึดครองอยู่ และก็ในซีกอะเลปโปตะวันออกของ “ฝ่ายกบฏ”

ผมล่ะสงสัยจริงๆ ว่า เรากำลังจะได้ยินได้ฟังเรื่องแบบนี้เพิ่มขึ้นอีกในช่วงไม่กี่วันข้างหน้า ในเดือนหน้า เรากำลังจะได้อ่านหนังสือที่ชวนให้หวาดผวาเล่มใหม่ นั่นคือ เรื่อง Merchants of Men ซึ่งเขียนโดยนักหนังสือพิมพ์สตรีชาวอิตาลี ลอเรตตา นาโปเลโอนี (Loretta Napoleoni) โดยมีเนื้อหาว่าด้วยเงินทุนของการทำสงครามในซีเรีย ในหนังสือเล่มนี้เธอได้แจกแจงถึงการลักตัวเรียกค่าไถ่ของทั้งของกองกำลังฝ่ายรัฐบาลและกองกำลังฝ่ายกบฏในซีเรีย ทว่าไม่เพียงเท่านั้น ยังมีถ้อยคำอันระคายหูเกี่ยวกับวิชาชีพสื่อมวลชนของพวกเราอีกด้วย

เธอเขียนเอาไว้ว่า พวกนักข่าวซึ่งถูกกลุ่มติดอาวุธต่างๆ ในซีเรียภาคตะวันออกลักพาตัวไปนั้น “ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มอาการเฮมิงเวย์ (Hemingway syndrome เฮมิงเวย์ในที่นี้ย่อมหมายถึง เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ Ernest Hemingway นักเขียนนักหนังสือพิมพ์ชาวอเมริกันชื่อก้อง -ผู้แปล) ประเภทหนึ่ง นั่นคือ เป็นผู้สื่อข่าวสงครามที่ให้ความสนับสนุนการก่อความสงบ พวกเขามีความไว้วางใจพวกกบฏ และเอาชีวิตของพวกเขาเข้าไปอยู่ในกำมือของกบฎเหล่านี้ เนื่องจากพวกเขามองว่าอยู่ในกลุ่มสัมพันธมิตรเดียวกัน” แต่เอาเข้าจริงแล้ว “การก่อความไม่สงบนี้เป็นเพียงการแปรปรวนอย่างหนึ่งของลัทธิญิฮาดที่มุ่งก่ออาชญากรรม เป็นปรากฏการณ์สมัยใหม่อย่างหนึ่งซึ่งมีความจงรักภักดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือความจงรักภักดีต่อเงินทอง”

นี่เป็นการเกรี้ยวกราดใส่วิชาชีพของผมมากเกินไปหรือเปล่า? จริงๆ แล้วเรา “อยู่ในกลุ่มสัมพันธมิตรเดียวกัน” กับพวกกบฏหรือเปล่า?

ทว่าแน่นอนทีเดียวว่าบรรดาเจ้านายทางการเมืองของพวกเรานั้นอยู่ในกลุ่มที่ว่านี้ด้วยอย่างแน่นอน และก็อยู่ด้วยเหตุผลเดียวกันกับพวกกบฏที่เที่ยวจับตัวเรียกค่าไถ่เหยื่อของพวกเขาด้วย นั่นคือ ความจงรักภักดีต่อเงินทอง ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เทเรซา เมย์ ผู้น่าอับอายไร้เกียรติจากเรื่อง “เบร็กซิต” และพวกรัฐมนตรีดาวตลกของเธอ จึงได้ไปหมอบราบคาบแก้วต่อหน้าพวกผู้เผด็จการสุหนี่ซึ่งให้เงินทุนสนับสนุนพวกนักรบญิฮาดแห่งซีเรีย ด้วยความวาดหวังว่าจะสามารถชิงคว้าเงินทองมาได้สักหลายพันล้านปอนด์ จากการขายอาวุธยุคหลังเบร็กซิต ให้แก่อ่าวเปอร์เซีย

เวลานี้รัฐสภาสหราชอาณาจักรก็กำลังจะอภิปรายเกี่ยวกับชะตากรรมของบรรดาแพทย์, พยาบาล, เด็กๆ และพลเรือนผู้ได้รับบาดเจ็บของเมืองอะเลปโปตลอดจนในพื้นที่อื่นๆ ของซีเรีย แต่สืบเนื่องจากพฤติการณ์อันวิปลาสของรัฐบาลสหราชอาณาจักร จึงเป็นอันเชื่อได้ทีเดียวว่าไม่ว่าฝ่ายซีเรียหรือฝ่ายรัสเซีย ล้วนแต่ไม่ให้ความสนใจใยดีแม้แต่น้อยนิดต่อการร้องไห้โหยหวนอวดแสดงความสงสารของพวกเรา และเรื่องอย่างนี้ก็เช่นกัน จะต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่สื่อมวลชนของเรากำลังจะเล่าขานกันต่อจากนี้ไป

(เก็บความจาก http://www.independent.co.uk/voices/aleppo-falls-to-syrian-regime-bashar-al-assad-rebels-uk-government-more-than-one-story-robert-fisk-a7471576.html)


กำลังโหลดความคิดเห็น