ฟ็อกซ์นิวส์/MGR Online - โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เผยเมื่อวันอาทิตย์ (4 ธ.ค.) ว่าเขาจะเรียกเก็บภาษี 35 เปอร์เซ็นต์ กับเหล่าบริษัทของสหรัฐฯ ที่เคลื่อนย้ายงานหรือปฏิบัติการต่างๆ ไปยังประเทศอื่นๆ ไม่กี่วันหลังแถลงบรรลุข้อตกลงกับแคร์ริเออร์ เพื่อรักษางานด้านการผลิตราว 1,100 ตำแหน่งให้อยู่ในอเมริกาต่อไป
ทรัมป์ทวีตข้อความในทวิตเตอร์ ระบุว่า “สหรัฐฯ กำลังจะมีนโยบายลดภาษีและยกเลิกกฏเกณฑ์ต่างๆ สำหรับภาคธุรกิจ แต่บริษัทใดที่มีแผนย้ายโรงงานไปต่างประเทศ ปลดพนักงาน สร้างโรงงานใหม่ในประเทศอื่น และคิดว่าจะส่งสินค้าเหล่านั้นกลับมายังสหรัฐฯ โดยไม่ได้รับผลกรรมหรือผลตอบสนองแล้วละก็ พวกเขาคิดผิด”
“เร็วๆ นี้เราจะมีกำแพงภาษีที่แข็งแกร่ง 35 เปอร์เซ็นต์สำหรับบริษัทเหล่านี้ จงพึงสังวรก่อนตัดสินใจผิดพลาดที่แสนแพง สหรัฐฯเปิดรับต่อการทำธุรกิจ” ทรัมป์เขียนลงบนทวิตเตอร์
ทวีตดังกล่าวมีขึ้นหลังจากทรัมป์แถลงเมื่อสัปดาห์แล้วว่าเขาบรรลุข้อตกลงกับแคร์ริเออร์ ผู้ผลิตเตาและเครื่องปรับอากาศ ในการรักษาตำแหน่งงานในอินดีแอนา แทนการย้ายโรงงานไปยังเม็กซิโก ซึ่งมีค่าแรงถูกกว่าและช่วยลดต้นทุนได้มาก
ทรัมป์ กล่าวอ้างความสำเร็จที่สามารถรักษาตำแหน่งงานราว 1,000 ตำแหน่งของแค์ริเออร์ให้อยู่ในรัฐอินเดียน่าต่อไป แลกกับการให้ผลประโยชน์จูงใจด้านภาษีเป็นมูลค่า 7 ล้านดอลลาร์
แต่นักวิจารณ์บอกว่าข้อตกลงดังกล่าวอาจเป็นผลเสียต่อการจ้างงานในอนาคต เพราะบริษัทอื่นๆ ในสหรัฐฯ อาจใช้วิธีข่มขู่ว่าจะย้ายโรงงานไปต่างประเทศ เพื่อแลกกับการได้รับข้อยกเว้นทางภาษีจากรัฐบาลทรัมป์เช่นกัน
ในบรรดาคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นั้นรวมถึง เบอร์นี แซนเดอร์ส ผู้สมัครชิงตัวแทนพรรคเดโมแครต ลงสู้ศึกประธานาธิบดี 2016 และ ซาลาห์ แพลิน คู่ชิงรองประธานาธิบดีปี 2008 ที่บ่งชี้ว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นตัวอย่างของระบบทุนนิยมเล่นพวก(Crony capitalism)
อย่างไรก็ตาม ไมค์ เพนซ์ ว่าที่รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปกป้องความพยายามโน้มน้าวแคร์ริเออร์ของทรัมป์ ผ่านรายการมีต เดะ เพรส ของเอ็นบีซี ว่า “เราใจสลายเมื่อได้ยินข่าวว่าแคร์ริเออร์ กำลังถอนการลงทุน เหตุผลเดียวที่แคร์ริเออร์ยังอยู่ในสหรัฐฯ ก็เพราะโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี”