เอเอฟพี - ชายชาวอินเดียผู้หนึ่งถูกจับกุมเมื่อวันอาทิตย์ (27 พ.ย.) ในข้อหาข่มขืนนักท่องเที่ยวหญิงชาวญี่ปุ่น ที่รีสอร์ตชายหาดซึ่งมีผู้นิยมกันมากแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของแดนภารตะ นับเป็นกรณีล่าสุดของการทำร้ายทางเพศต่ออาคันตุกะต่างชาติ
เจ้าหน้าที่ของโรงแรมในเมืองโควาลัมพบหญิงชาวญี่ปุ่นวัย 35 ปีผู้นี้ในสภาพตกเลือด เมื่อช่วงเช้ามืดวันอาทิตย์ (27) และนำเธอส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในเมืองธีรุวนันทปุรัม (หรือ ตริวันดรัม) เมืองเอกของรัฐเกรละ
แพทย์ระบุว่าเธอได้รับบาดเจ็บภายใน แต่เวลานี้พ้นขีดอันตรายถึงชีวิตแล้ว
ตำรวจบอกว่าชายที่ถูกจับกุมอายุ 25 ปี โดยครอบครัวของเขาเป็นเจ้าของร้านเครื่องหัตถกรรมแห่งหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้
“ผู้ต้องหาถูกส่งตัวไปฝากขังต่อศาล และเรากำลังรอให้เหยื่อมีอาการดีขึ้นก่อนเพื่อจะได้บันทึกคำให้การของเธออย่างละเอียดต่อไป” วิพิน กุมาร ตำรวจท้องถิ่นเปิดเผย และกล่าวต่อไปว่า เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นในกรุงนิวเดลีได้รับแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคราวนี้แล้ว
หญิงญี่ปุ่นผู้นี้เดินทางมาอินเดียเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน และไปยังเมืองรีสอร์ตชื่อดังด้านชายหาดแห่งนี้ในวันเสาร์ (26) อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเธอก็ถูกทำร้ายข่มขืน ตำรวจกล่าวว่ายังไม่ทราบว่าเหยื่อและผู้ต้องหาพบเจอะเจอกันในลักษณะใด
อย่างไรก็ตาม อินเดียกำลังเกิดเหตุโจมตีทางเพศต่อนักท่องเที่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหลายประเทศตะวันตกออกคำเตือนคนในชาติของตนที่มาเยือนแดนภารตะเกี่ยวกับความเสี่ยงเรื่องนี้
เมื่อปีที่แล้ว หญิงชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งถูกมอมยาและถูกข่มขืนโดยมัคคุเทศก์ผู้หนึ่งในเมืองชัยปุระ เมืองเอกของรัฐราชสถาน ทางภาคตะวันตกของอินเดีย ก่อนหน้านั้นไม่ถึง 6 เดือนก็มีแก๊งชาย 6 คนข่มขืนนักท่องเที่ยวหญิงวัย 22 ปีในเมืองโกลกาตา ทางภาคตะวันออกของแดนภารตะ
ในเดือนมิถุนายนนี้ปีนี้ ศาลอินเดียตัดสินว่าชาย 5 คนมีความผิดในการรวมตัวเป็นแก๊งกระทำการข่มขืนหญิงนักท่องเที่ยวชาวเดนมาร์กอายุ 52 ปีที่กรุงนิวเดลีเมื่อปี 2014 จำเลยทั้งหมดถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต
ขณะเดียวกัน ทางการอินเดียก็กำลังถูกติดตามตรวจสอบอย่างเข้มข้นยิ่งขึ้น ว่ามีความพยายามจริงจังแค่ไหนในการลดทอนเหตุรุนแรงต่อผู้หญิงในสังคมโดยทั่วไป ภายหลังเกิดกรณีข่มขืนที่สร้างความโกรธแค้นขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะคดีฆ่าข่มขืนนักศึกษาด้านการแพทย์บนรถเมล์ในกรุงนิวเดลีในเดือนธันวาคม 2012 ซึ่งก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจอย่างเกรียวกราวในระดับทั่วโลกทีเดียว