เอเจนซีส์/เอเอฟพี/รอยเตอร์/MGRออนไลน์ – วันนี้(17 พ.ย)นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซ อาเบะ มีกำหนดพบปะหารือกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ในนิวยอร์ก ซิตี แต่ไม่รู้ทั้งเวลาและสถานที่นัดคุย หวังเปิดประตูความสัมพันธ์กับว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯจากพรรครีพับลิกัน เล็งคุยปัญหาความมั่นคงและข้อตกลงการค้าเสรี TPP และท่าทีสหรัฐฯต่อเกาหลีเหนือ หลังก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยประกาศ “ญี่ปุ่นต้องช่วยตนเองป้องกันประเทศ และอนุญาตให้ติดนิวเคลียร์รบได้” ล่าสุดพบผู้นำญี่ปุ่นแอบส่งคนของตัวเองเข้าพบกับทีมจัดการเปลี่ยนผ่านอำนาจทรัมป์กรุยทางก่อนวันหารือจริง ด้านนาจิบ ราซัค ผู้นำมาเลเซียตั้งความหวังสูงกับอาเบะ-ทรัมป์ซัมมิต
บีบีซี สื่ออังกฤษรายงานวันนี้(17 พ.ย)ว่า การพบกันระหว่างผู้นำญี่ปุ่นและ โดนัลด์ ทรัมป์ ในวันพฤหัสบดี(17 พ.ย)จะทำให้นายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะกลายเป็นผู้นำชาติแรกที่เข้าหารือกับว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯจากพรรครีพับลิกัน เกิดขึ้นหลังจากที่ทรัมป์ได้รับการรายงานสรุปสำหรับประธานาธิบดีสหรัฐฯครั้งแรกในวันอังคาร(15 พ.ย)ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์รายงานในวันพุธ(16 พ.ย)ว่า การหารือครั้งนี้ไม่ได้มีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯเข้าเกี่ยวข้อง และแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นออกมายอมรับ มาจนถึงวินาทีสุดท้า่ยวันก่อนอาเบะจะขึ้นเครื่อง ทางโตเกียวยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากทรัมป์ถึง***เวลานัดหมาย สถานที่พบปะ และบุคคลที่จะถูกเชิญ และในบางกรณีใครจะเป็นผู้ตอบคำถาม***
โดยพบว่าการยืนยันการนัดหมายครั้งนี้เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมกันกับที่โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ จอห์น เคอร์บี ออกมายอมรับว่า ทีมจัดการเปลี่ยนผ่านของทรัมป์ไม่ได้ติดต่อมายังทางกระทรวงในการปรึกษาหารือถึงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลสหรัฐฯชุดใหม่ หรือแม้แต่การหาข้อมูลล่วงหน้าก่อนว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะพบกับผู้นำชาติต่างๆ
โดยสื่อสหรัฐฯ CNN ชี้ว่า อาเบะประกาศว่า เขาต้องการ “สร้างความเชื่อมั่น” กับทรัมป์ ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯคนใหม่ในวันนี้(17 พ.ย) ทั้งนี้บรรยากาศการพบปะกันนั้น สื่ออังกฤษชี้ว่า เชื่อว่าเกิดขึ้นท่ามกลางการหวั่นวิตกของทางญี่ปุ่น จากการที่ก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้เคยประกาศว่า ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จ่ายเงินเพียงเล็กน้อยสำหรับการได้รับความช่วยเหลือทางการคงทหารอเมริกาในดินแดนเหล่านี้ โดยในช่วงการหาเสียง ทรัมป์เคยชี้ว่า สหรัฐฯสมควรต้อวถอนกองกำลังออกมาจากญี่ปุ่น หากทางโตเกียวยังคงไม่เพิ่มเงินค่าตอบแทนให้ ซึ่งในปัจจุบันนี้ทางโตเกียวจ่ายให้สหรัฐฯในอัตรา 1.7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมไปถึงค่าดำเนินการของฐานทัพสหรัฐฯบนเกาะโอกินาวา
เท็ตซุยะ อ็อตซูรุ(Tetsuya Otsuru) เจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นได้เปิดเผยกับบีบีซีในช่วงการประกาศกำหนดการพบปะระหว่างอาเบะและทรัมป์ว่า “เราต้องการปกป้องความสัมพันธ์ของเรากับสหรัฐฯเอาไว้ในช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลสหรัฐฯ”
ซึ่งประเด็นในการหารือเชื่อว่า นอกจากปัญหาด้านความมั่นคงแล้ว สื่ออังกฤษชี้ว่า จะมีประเด็นข้อตกลงการค้าเสรี TPP สหรัฐฯที่เกิดขึ้นในสมัยประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา และทางญี่ปุ่นได้ร่วมลงนาม และล่าสุดทางรัฐสภาญี่ปุ่นได้อนุมัติข้อตกลงนี้ แต่ทว่าสื่ออังกฤษชี้ว่า ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯจากพรรครีพับลิกันไม่เห็นด้วยกับนโยบายข้อตกลงการค้าเสรี TPP ของพรรคเดโมแครต
สื่ออังกฤษรายงานต่อว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก และยิ่งต้องพึ่งพาอย่างหนักในด้านการค้า และทำให้ทางโตเกียวต้องการให้สหรัฐฯยังคงเป็นตลาดเปิดต่อไปสำหรับสินค้าจากญี่ปุ่น และสนับสนุนข้อตกลงการค้าที่จะทำให้ประเทศอื่นๆเปิดประตูด้วยเช่นกัน ซึ่งนอกจากที่ทรัมป์จะไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงการค้า TPP แล้ว เขายังเคยได้ประกาศถึงปัญหาสินค้าญี่ปุ่นไหลเข้าอเมริกา และประกาศในช่วงหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะทำให้ข้อตกลงการค้า TPP ของโอบามาต้องสิ้นสุดไป ซึ่งถึงแม้ว่า บีบีซีชี้ต่อ จะมีหลายเสียงออกมาให้ความเห็นว่า ข้อตกลงการค้าเสรี TPP เป็นยุทธศาสตร์ที่ดีในการถ่วงดุลอำนาจกับจีนก็ตาม
ด้าน CNN รายงานเพิ่มเติมว่า ในการเดินทางมายังนิวยอร์ก ซิตี ครั้งนี้ อาเบะยังต้องการทราบท่าทีสหรัฐฯจากทรัมป์ต่อประเด็นปัญหาเกาหลีเหนือ โดยทรัมป์ได้เคยประกาศช็อกโลกในช่วงการหาเสียงว่า เขายินดีที่จะเป็นเจ้าภาพเชิญประธานาธิบดี คิม จอง อุน เดินทางมาเยือนทำเนียบขาว
โดยเจฟ คิงสตัน(Jeff Kingston) ผู้อำนวยการเอเชียศึกษาประจำมหาวิทยาลัยเทมเปิลในญี่ปุ่นได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “ญี่ปุ่นถือเป็นพันธมิตรใกล้ชิดต่อสหรัฐฯมากที่สุดในเอเชีย และดังนั้นผู้นำญี่ปุ่นจึงต้องการได้รับการยืนยันจากอเมริกา” และกล่าวต่อว่า “ผมคิดว่าอาเบะเข้าใจว่า ทรัมป์เป็นพวกที่สามารถรู้สึกต่อการถูกดูหมิ่นได้ง่าย และดังนั้นผู้นำญี่ปุ่นจึงต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปในทางบวกที่สุด และเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีนักกับโอบามา”
ซึ่งก่อนออกเดินทางจากญี่ปุ่น อาเบะประกาศว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียร์ติที่จะได้พบกับว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯก่อนหน้าผู้นำชาติอื่นๆทั้งหมด” และยังกล่าวต่อว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯเป็นหัวใจสำคัญของญี่ปุ่นในด้านความมั่นคงประเทศและการทูต ซึ่งความเป็นพันธมิตรจะคงอยู่…ก็ต่อเมื่อมีความไว้วางใจระหว่างเราสองเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องการสร้างกับคุณทรัมป์”
สื่อสหรัฐฯต่อชี้ว่า อาเบะ เหมือนเช่นผู้นำเอเชียชาติอื่นๆที่มีความต้องการอยากรู้ว่าทรัมป์จะใช้นโยบายการหาเสียงการเลือกตั้งมากน้อยเพียงใดในการออกนโยบายบริหารประเทศอเมริกา
โดย CNN พบว่า ก่อนหน้าการพบปะระหว่าง 2 ชาติผู้นำที่จะเกิดขึ้นกลางนิวยอร์ก ซิตีในวันนี้(17 พ.ย) อาเบะได้ส่งคนสนิทของตนเองเดินทางมาสหรัฐฯเพื่อพบกับทีมจัดการเปลี่ยนผ่านอำนาจของทรัมป์ล่วงหน้า ทั้งนี้ คัตซูยูคิ คูวาอิ(Katsuyuki Kawai) ผู้ช่วยของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้เปิดเผยกับสื่ญี่ปุ่น NHK ว่า เขาได้พบกับเจ้าหน้าที่ทีมจัดการเปลี่ยนผ่านของทรัมป์จำนวนหนึ่ง และหลังจากที่ได้มีการพูดคุยแล้ว คนเหล่านั้นได้ทำให้ผู้ช่วยของอาเบะคลายใจว่า ไม่ต้องวิตกถึงวาทะทางการเมืองกลางเวทีการหาเสียงเลือกตั้งของทรัมป์ที่เกี่ยงข้องกับญี่ปุ่น
“ทุกคนต่างมีความเห็นเดียวกันที่ว่า พวกเราไม่จำเป็นต้องวิตกถึงทุกคำพูดของคุณทรัมป์ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ” คูวาอิ กล่าว
และนอกจากนี้ยังพบว่าตัวแทนของอาเบะคนนี้ยังได้มีโอกาสเข้าพบกับสว. ทอม ค็อตตอน( Tom Cotton) ที่มีข่าวว่าอาจจะได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ และ เดวิน นูเนส(Devin Nunes) ประธานคณะกรรมาธิการข่างกรองประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯในวันพุธ(16 พ.ย)
โดยนูเนสได้แถลงกับนักข่าวว่า “ทรัมป์เป็นพวกที่เรียนรู้ได้ไว ผมคิดว่าเขาจะต้องสนใจเอามากๆต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในเอเชีย”
ด้านโทโมฮิโกะ ทานิกูชิ( Tomohiko Taniguchi) ที่ปรึกษาพิเศษของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้เปิดเผยถึงการพบปะครั้งสำคัญระหว่างอาเบะและทรัมป์ว่า นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเป็นผู้เริ่มต้นเสนอการพบปะครั้งนี้ในระหว่างการโทรศัพท์แสดงความยินดีในชัยชนะต่อทรัมป์ในวันที่ 10 พ.ยที่ผ่านมา
และในความกล้าในโอกาสที่ได้รับเพื่อเข้าถึงตัวทรัมป์เป็นชาติแรก ทำให้อาเบะตัดสินใจในทันทีด้วยการเพิ่มการเดินทางเพื่อเยือนในนิวยอร์ก ซิตี ในระหว่างการเดินทางไปร่วมงานซัมมิตด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก ซึ่งจะถูกจัดขึ้นที่กรุงลิมา เปรู
โดยทานิกูชิกล่าวกับ CNN ว่า “อาเบะต้องทำงานร่วมกับทรัมป์ในอีก 4 ปีข้างหน้า” และเสริมต่อว่า “ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีที่คนทั้งคู่ต้องทำการรู้จักกันเอาไว้”
ทั้งนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อญี่ปุ่น นิเคอิ เอเชีย รีวิว ได้เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเตรียมตัวสำหรับชัยชนะของฮิงลารี คลินตัน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต และในการเดินทางมาสหรัฐฯก่อนหน้านี้ในเดือนกันยายน เขาไม่ได้มีกำหนดพบกับทรัมป์ แต่ได้พบกับคลินตันแทน
บีบีซีรายงานในตอนท้ายว่า อ้างอิงจากแถลงการณ์ของทีมการขัดการเปลี่ยนผ่านอำนาจของทรัมป์ระบุว่า นับตั้งแต่หลังวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งทรัมป์และว่าที่รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไมค์ เพนซ์ ได้พบกับผู้นำทั่งโลกแล้วจำนวนมากถึง 29 คน
ซึ่งก่อนหน้านี้ในวันพุธ(16 พ.ย)จากการรายงานของเอเอฟพีชี้ว่า นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นาจิบ ราซัค ได้ฝากความหวังถึงอนาคตข้อตกลงการค้าเสรี TPP ไว้กับการหารือเป็นการส่วนตัวระหว่างผู้นำญี่ปุ่นและทรัมป์ โดยหวังว่าทางอาเบะจะสามารถกล่อมให้ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯจากพรรครีพับลิกันยังคงเดินหน้าในข้อตกลงสัญญาการค้าเสรี TPP ซึ่งมี 12 ชาติรวมไปถึงมาเลเซียได้ร่วมลงนามไว้แล้ว
เอเอฟพีรายงานว่า ผู้นำชาติเอเชียต่างๆพยายามที่จะหาทางกู้วิกฤตไม่ให้ข้อตลกงการเสรีนี้ต้องมีอันสิ้นสภาพตามที่ทรัมป์ได้เคยลั่นวาจาไว้ โดยอ้างว่า หากว่ามีอันต้องยกเลิกไปจะส่งผลร้ายต่อร้ายต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯและตำแหน่งงานที่จะเกิดขึ้น
ซึ่งหลังจากการหารือซัมมิตในกรุงโตเกียว นาจิบและอาเบะต่างออกมายืนยันกับนักข่าวว่า ชาติของพวกตนจะเดินหน้าไปสู่การลงนามในข้อตกลงการค้าเสรี TPP ฉบับนี้
โดยนาจิบกล่าวเคียงข้างอาเบะว่า "พวกเราหวังว่าข้อตกลงทางการค้า TPP จะสามารถถูกบังคับใช้ในไม่ช้า" และกล่าวต่อว่า "และทำให้ผมได้เปิดเผยต่อนายกรัฐมนตรีอาเบะว่า การหารือกับ...ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นสิ่งทีพวกเราประเทศร่วมข้อตกลงการค้าเสรี TPP ต่างเฝ้ารอ"
และนอกจากนี้นาจิบยังย้ำว่า เขาหวังว่ายุทธศาสตร์ทางการค้าของของตกลงทางการค้าเสรี TPP จะได้รับการยอมรับจากรัฐบาลสหรัฐฯชุดใหม่และจากทุกชาติที่ได้เข้าร่วมข้อตกลง TPP นี้
เอเอฟพีรายงานเพิ่มเติมว่า แหล่งข่าวรัฐบาลญี่ปุ่นได้เปิดเผยว่า อาเบะยังได้ปรึกษากับนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย มัลคอล์ม เทิร์นบูล เกี่ยวกับข้อตกลงการค้าเสรี TPP เช่นเดียวกัน