เอเจนซีส์ / MGR online - ทางการปากีสถาน เผยในวันจันทร์ (7 พ.ย.) ระบุ กองกำลังรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดนของอินเดีย เปิดฉากสาดกระสุนข้ามพรมแดนบริเวณแคว้นแคชเมียร์ ถูกพลเมืองปากีสถานเสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่ง และยังเป็นเหตุให้มีพลเรือนได้รับบาดเจ็บอีก 4 ราย
รายงานของสื่อท้องถิ่นซึ่งอ้างแหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงของปากีสถาน ระบุว่า เหตุกราดยิงข้ามชายแดนดังกล่าว ซึ่งเป็นฝีมือของทหารอินเดียล่าสุดนั้น เกิดขึ้นไม่ไกลจากเขตนากยาล เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย รวมถึงตำรวจนายหนึ่ง
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า ได้เกิดเหตุกราดยิงโดยทหารของอินเดีย ข้ามชายแดนแคว้นแคชเมียร์ด้วยอีกจุดหนึ่งบริเวณรอยต่อพรมแดนแถบหุบเขานีลัม
เหตุกราดยิงข้ามชายแดนล่าสุด ส่งผลให้มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งในฝั่งแคว้นแคชเมียร์ส่วนที่เป็นของปากีสถาน พากันอพยพออกนอกพื้นที่ชั่วคราว เนื่องจากไม่มั่นใจในความปลอดภัย
ก่อนหน้านี้ เมื่อช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ทางการอินเดียประกาศขยายระยะเวลาเคอร์ฟิวห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานในหลายพื้นที่ ของแคว้นจัมมู และแคชเมียร์ ออกไป รวมถึงในนครศรีนาการ์ ที่เป็นเมืองเอกของแคว้นแห่งนี้ ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ภายหลังเกิดเหตุวุ่นวายที่ทางการอินเดียปักใจเชื่อว่า มีปากีสถานอยู่เบื้องหลัง
นอกเหนือจากการขยายเคอร์ฟิวออกไปแล้ว รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า ทางการอินเดียยังคงดำเนินมาตรการตัดสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ และอินเทอร์เน็ตในหลายพื้นที่ของแคว้นจัมมู และแคชเมียร์ ต่อไปอีกด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ ทางการท้องถิ่นในแคว้นจัมมู และแคชเมียร์ ของอินเดียประกาศสั่งปิดหนังสือพิมพ์และยุติการออกอากาศของสถานีโทรทัศน์ในระบบเคเบิลมาตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค. หวังช่วยสกัดกั้นความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ประท้วงที่นำมาซึ่งปัญหาความไม่สงบที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 6 ปี ที่ดำเนินมาตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาในแคว้นแห่งนี้
ความเคลื่อนไหวล่าสุดมีขึ้นภายหลังจากที่ก่อนหน้านี้ ทางการท้องถิ่นในแคว้นจัมมู และแคชเมียร์ของอินเดีย ได้ออกคำสั่งห้ามประชาชนออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) และตัดสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปแล้ว เพื่อขัดขวางการเข้าร่วมชุมนุมตามท้องถนนของเหล่าผู้ประท้วง
ก่อนหน้านี้ ทางการอินเดียเผยยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ไม่สงบในแคว้นจัมมู และแคชเมียร์ของตน เพิ่มจำนวนเป็นอย่างน้อย 36 ศพ หลังเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงนับตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค. ที่ผ่านมา ระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงกับตำรวจปราบจลาจล ขณะที่จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บพุ่งสูงเกินกว่า 3,100 ราย ซึ่งปรากฏว่า หลายรายในจำนวนนี้มีอาการสาหัส
การปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างกลุ่มผู้ประท้วง กับตำรวจปราบจลาจลอินเดีย มีจุดเริ่มต้นมาจากการที่ผู้ประท้วงจำนวนหลายร้อยคนฝ่าฝืนคำสั่งเคอร์ฟิวห้ามออกจากเคหสถานที่ทางการอินเดียนำมาบังคับใช้ในพื้นที่ตอนใต้ของเขตปุลวามา เพื่อหวังสกัดการเคลื่อนไหวของฝูงชนที่โกรธแค้นต่อการเสียชีวิตของ “บูร์ฮาน วานี” ผู้นำกลุ่มฮิซบุล มูจาฮิดีน วัย 22 ปี ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลอินเดีย และถูกสังหารเมื่อวันที่ 8 ก.ค. ที่ผ่านมา ระหว่างการดวลปืนกับกองกำลังความมั่นคงของรัฐบาล
การเสียชีวิตในวันที่ 8 ก.ค. ของวานี ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ในการปลุกระดมคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ในแคว้นจัมมู และแคชเมียร์ ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ให้ลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลอินเดีย คือ ต้นตอสำคัญที่นำไปสู่การประท้วงและเหตุรุนแรงดังกล่าวซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 36 ราย รวมถึงตำรวจปราบจลาจล 1 นาย ที่เสียชีวิตในเขตอนันตนาค ภายหลังจากกลุ่มผู้ประท้วงช่วยกันผลักรถหุ้มเกราะของเขาตกลงไปในแม่น้ำสายหนึ่ง
ขณะที่จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บพุ่งสูงเกินกว่า 3,100 ราย ซึ่งหลายรายในจำนวนนี้มีอาการสาหัส
ทางการอินเดียออกมายืนยันในเวลาต่อมา ว่า นอกเหนือจากการใช้แก๊สน้ำตาและยุทโธปกรณ์เพื่อการควบคุมฝูงชนตามปกติแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลในจัมมู และแคชเมียร์ ยังมีการใช้ “กระสุนจริง” ในระหว่างภารกิจการบุกเข้าสลายการประท้วงเมื่อช่วงก่อนหน้านี้ รวมถึงมีการตัดสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตในพื้นที่
ทั้งนี้ แคชเมียร์กลายเป็นศูนย์กลางแห่งการเผชิญหน้า และการปะทะกันหลายครั้งหลายหนระหว่างอินเดียกับปากีสถานตลอดระยะเวลากว่า 70 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้จะมีการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกันในปี 2003
โดยชาติเพื่อนบ้านทั้งสอง ซึ่งต่างมี “อาวุธนิวเคลียร์” ไว้ในครอบครอง ต่างอ้างกรรมสิทธิ์และอธิปไตยของตนเหนือดินแดนแถบเทือกเขาหิมาลัยอันสวยงามแห่งนี้ โดยที่อินเดียเป็นฝ่ายยึดครองดินแดน 2 ใน 3 ส่วนของแคว้นแคชเมียร์ ขณะที่ปากีสถานได้ครอบครองแคชเมียร์ในอีก 1 ส่วนที่เหลือ ท่ามกลางรายงานผู้เสียชีวิตจำนวนหลายพันรายที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในพื้นที่ตลอด 20 ปีหลังสุด