เอเอฟพี - ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ กล่าวเตือนชาวอเมริกันผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเมื่อวันพุธ (2 พ.ย.) ว่าระบอบประชาธิปไตยของอเมริกานั้นอยู่ในมือของพวกเขาแล้ว ขณะที่การแข่งขันช่วงโค้งสุดท้ายระหว่าง ฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครประธานาธิบดีจากสายเดโมแครต กับมหาเศรษฐี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้แทนรีพับลิกัน ยังคงเป็นไปอย่างดุเดือดจนยากจะฟันธงผลเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย. นี้
คะแนนนิยมของ ทรัมป์ ที่มีแนวโน้มขยับขึ้นมาสูสีกับ คลินตัน ในช่วง 6 วันสุดท้ายสร้างความลุ้นระทึกทั้งต่อศัตรูและพันธมิตรของอเมริกา และยังโหมกระพือความกังวลในตลาดเงิน
“อนาคตของประเทศชาติอยู่บนบ่าทั้งสองของท่าน” โอบามา กล่าวต่อประชาชนที่มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่รัฐที่คะแนนเสียงแกว่งไปมาไม่แน่นอน (swing states) และอาจเป็นตัวแปรที่ชี้ขาดผลแพ้-ชนะในศึกเลือกตั้งผู้นำทำเนียบขาว
“อนาคตของโลกกำลังตกอยู่ในความไม่แน่นอน และพวกท่านซึ่งเป็นชาวรัฐนอร์ทแคโรไลนาจะต้องช่วยผลักดันให้โลกนี้เดินไปในทิศทางที่เหมาะสม” โอบามา ประกาศก้องเพื่อระดมเสียงสนับสนุนให้ คลินตัน ได้ก้าวขึ้นมาทำหน้าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่อจากตน
“ตัวผมเองไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในการเลือกตั้ง แต่ผมขอเรียนท่านว่า ความเป็นธรรม ความดีงาม ความยุติธรรม ความก้าวหน้า และระบอบประชาธิปไตยของเรา ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งครั้งนี้”
ในวันอังคารที่ 8 พ.ย. ชาวอเมริกันจะต้องตัดสินใจเลือกใครสักคนเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์และอดีตดาราเรียลลิตีโชว์ที่ชูนโยบายประชานิยม กับ ฮิลลารี คลินตัน ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ อดีตสตรีหมายเลขหนึ่ง ที่มีประวัติการทำงานในรัฐบาลเป็นเครื่องยืนยัน
ตัวเลือกหลักๆ ที่มีเพียง ทรัมป์ กับ คลินตัน ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยรู้สึกเบื่อหน่าย และยังยากที่จะคาดเดาผลการเลือกตั้งในรัฐสำคัญๆ ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินว่าใครจะได้คะแนนโหวตจากคณะผู้เลือกตั้ง (electoral college) ไปมากที่สุด
แม้โพลส่วนใหญ่จะยกให้ คลินตัน เป็นฝ่ายนำ ทว่าเมื่อวันอังคาร (1 พ.ย.) ผลสำรวจของเอบีซีนิวส์/วอชิงตันโพสต์ กลับพบว่า ทรัมป์ พลิกกลับมามีคะแนนแซงหน้า คลินตัน แล้ว 1 จุด สร้างความตกตะลึงต่อบรรดานักลงทุนที่เกรงว่าการก้าวสู่อำนาจของ ทรัมป์ จะฉุดเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้ดำดิ่งสู่ภาวะถดถอย
ทรัมป์ วัย 70 ปี ตกเป็นข่าวอื้อฉาวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการล่วงละเมิดทางเพศ การไม่จ่ายภาษีให้รัฐ การยั่วยุให้ผู้สนับสนุนใช้ความรุนแรง รวมถึงข้อครหาเรื่องความสนิทสนมกับประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ซึ่งหากไม่ใช่คนแกร่งขนาด ทรัมป์ ก็คงจะหมดอนาคตไปแล้ว
อย่างไรก็ดี การที่สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) เปิดสอบสวนพฤติกรรมการใช้อีเมลส่วนตัวรับ-ส่งข้อมูลของ คลินตัน ขณะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก็ช่วยให้ฐานแฟนคลับของมหาเศรษฐีปากเปราะเริ่มจะคึกคักขึ้นมาในช่วงนี้ และยังเพิ่มความกังขาต่อสังคมว่า คลินตัน จะเป็นผู้นำที่ไว้วางใจได้มากเพียงใด
“เหลือเวลาอีกไม่ถึง 1 สัปดาห์ มุมมองของตลาดเริ่มจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า หาก ทรัมป์ ชนะจะก่อความไม่แน่นอนมากเกินไป และเพิ่มระดับความสุ่มเสี่ยงในภาพรวม” คิต จักเกส นักวิเคราะห์จากธนาคาร Societe Generale ระบุ