รอยเตอร์ /เอเจนซีส์ / MGR online - กลุ่มติดอาวุธในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ของไนจีเรีย ก่อเหตุโจมตีครั้งใหม่ในวันพุธ (2 พ.ย.) ต่อท่อส่งน้ำมันของบรรษัทปิโตรเลียมแห่งชาติไนจีเรีย (เอ็นเอ็นพีซี)
เหตุโจมตีท่อส่งน้ำมันดังกล่าวเกิดขึ้นเพียง 1 วัน หลังจากที่ผู้นำชุมชนจากพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ที่ถือเป็นแหล่งผลิตน้ำมันสำคัญของไนจีเรีย ได้เข้าพบกับประธานาธิบดีมูฮัมมาดู บูฮารี เมื่อวันอังคาร (1 พ.ย.) และได้ยื่นข้อเรียกร้องให้มีการถอนกำลังทหารของรัฐบาลออกจากพื้นที่ รวมถึงข้อเรียกร้องให้เพิ่มโครงการด้านการพัฒนาในพื้นที่ และให้บรรดาบริษัทน้ำมันต่างชาติย้ายที่ตั้งสำนักงานใหญ่ในไนจีเรียเข้าไปยังพื้นที่นี้
การพบหารือที่เกิดขึ้นระหว่างผู้นำไนจีเรียกับผู้นำท้องถิ่นจากพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่กลุ่มติดอาวุธในพื้นที่เริ่มก่อเหตุโจมตีท่อส่งน้ำมันในพื้นที่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา
ด้านการ์บา ดีน มูฮัมหมัด โฆษกบรรษัทปิโตรเลียมแห่งชาติไนจีเรีย (เอ็นเอ็นพีซี) ออกมายืนยันว่าท่อส่งน้ำมันของบริษัทตนถูกโจมตีจริง และว่าเหตุโจมตีที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิต แต่ไม่เปิดเผยว่ากระทบมากน้อยเพียงใด
ก่อนหน้านี้ เอ็มมานูเอล อิเบ คาชิควู รัฐมนตรีน้ำมันไนจีเรีย เผยเมื่อ 27 ต.ค. ระบุทางการไนจีเรียจะเดินหน้าโครงการลงทุนมูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นเงินไทยราว 351,300 ล้านบาท) เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ หวังเป็นใบเบิกทางยุติการก่อเหตุรุนแรงของกลุ่มติดอาวุธในพื้นที่
รัฐมนตรีน้ำมันของไนจีเรียเปิดเผยเรื่องดังกล่าว ระหว่างเข้าร่วมการประชุมด้านเศรษฐกิจเวทีหนึ่งในกรุงอบูจา โดยระบุว่าการเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการสร้างงานในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ ถือว่าเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ด้านปิโตรเลียมของประเทศที่ขณะนี้ได้มีการนำเสนอเนื้อหาบางส่วนต่อสมาชิกรัฐสภาไนจีเรียไปแล้ว และเป็นหนึ่งในความพยายามของรัฐบาลไนจีเรียในการยุติความรุนแรงในพื้นที่
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัฐบาลไนจีเรีย มีขึ้นภายหลังจากมีกระแสข่าวแพร่สะพัดว่าบรรดาบริษัทน้ำมันต่างชาติซึ่งดำเนินกิจการในไนจีเรียมีแผนปลดคนงานออกกว่า 3,000 คน ด้านสหภาพแรงงานซึ่งออกมาเปิดเผยเรื่องนี้เมื่อ 26 ต.ค.ที่ผ่านมาได้เรียกร้องรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีบูฮารีเร่งยื่นมือช่วยเหลือ
อิกเว อาเชเซ ประธานสหภาพแรงงาน แห่งอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติแห่งชาติของไนจีเรีย ออกมาเปิดเผยหลังร่วมประชุมกับสมาชิกสหภาพฯ โดยระบุต้องการให้รัฐบาลไนจีเรีย ยื่นมือเข้ามาจัดการกับปัญหานี้ พร้อมยื่นเส้นตายเป็นเวลา 21 วัน ก่อนที่ทางสหภาพฯ จะดำเนินมาตรการกดดันขั้นต่อไป ซึ่งอาจรวมถึงการนัดหยุดงานประท้วงที่จะสร้างความเสียหายแก่อุตสาหกรรมพลังงานของไนจีเรียอย่างมหาศาล
ด้านเว็บไซต์ข่าว “พรีเมียม ไทมส์” รายงานว่า บรรดาบริษัทพลังงานต่างชาติซึ่งรวมถึงเอ็กซอน โมบิล, เชฟรอน, แพน โอเชียน และไซเป็ม ต่างมีส่วนในแผนการปลดคนงานชาวไนจีเรียออกกว่า 3,000 รายในครั้งนี้
ข่าวการปลดคนงานที่เกิดขึ้นล่าสุด เป็นข่าวร้ายซ้ำเติมอุตสาหกรรมพลังงานของไนจีเรีย นอกเหนือจากการก่อเหตุโจมตีโดยกลุ่มติดอาวุธท้องถิ่นในพื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ ที่ถือเป็นแหล่งผลิตน้ำมันสำคัญของประเทศ
ก่อนหน้านี้กลุ่มติดอาวุธ “ไนเจอร์ เดลตา อเวนเจอร์ส” ออกคำแถลงเมื่อ 24 ก.ย. อ้างตัวอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตี ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในพื้นที่แหล่งน้ำมันสำคัญในภาคใต้ของไนจีเรียนับตั้งแต่การประกาศหยุดยิงแบบฝ่ายเดียวของฝ่ายตนตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
กลุ่มติดอาวุธดังกล่าวระบุว่า ได้ลงมือโจมตีแนวท่อส่งออกน้ำมันดิบ “บอนนี” ตั้งแต่เมื่อกลางดึกของวันที่ 23 ก.ย.ที่ผ่านมา ถือเป็นการก่อเหตุรุนแรงครั้งแรกของกลุ่มติดอาวุธที่เคลื่อนไหวอยู่ในบริเวณ “สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์” ทางภาคใต้ของไนจีเรียกลุ่มนี้ ที่ก่อนหน้านี้ได้ประกาศหยุดยิงแบบฝ่ายเดียวไปเมื่อเดือนสิงหาคม และแสดงจุดยืนว่าพร้อมเจรจาสันติภาพกับฝ่ายรัฐบาลไนจีเรีย
แหล่งข่าวในแวดวงอุตสาหกรรมพลังงานของไนจีเรียออกมาเปิดเผยว่า การโจมตีที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่อการส่งออกน้ำมันในพื้นที่
ก่อนหน้านี้ กลุ่มติดอาวุธ ไนเจอร์ เดลตา อเวนเจอร์ส (เอ็นดีเอ) ประกาศเมื่อวันที่ 20 ส.ค. ผ่านเว็บไซต์ของตัวเอง ระบุว่าขอหยุดยิงแบบฝ่ายเดียวกับรัฐบาลกลางไนจีเรียระบุ พร้อมสนับสนุนแนวคิดในการร่วมโต๊ะเจรจากับฝ่ายรัฐบาล
อย่างไรก็ดี คำแถลงผ่านเว็บไซต์ของกลุ่มติดอาวุธนี้ เมื่อ 20 ส.ค. ระบุเงื่อนไขว่านักรบของกลุ่มจะหันไปจับอาวุธอีกครั้ง หากรัฐบาลไนจีเรีย “ไม่ตอบสนอง” ต่อข้อเสนอของฝ่ายตน และยังคงเดินหน้าการจับกุม และการกดขี่รังแกประชาชนในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์
ก่อนหน้านั้นเพียง 2 วัน ทางกลุ่มติดอาวุธ ไนเจอร์ เดลตา อเวนเจอร์ส ออกโรงขู่เมื่อ 18 ส.ค. ว่าจะเดินหน้าปลดแอกแยกดินแดน ซึ่งอุดมไปด้วยทรัพยากรน้ำมันบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ ออกจากการปกครองของไนจีเรีย ในวันที่ 1 ตุลาคม
คำแถลงของกลุ่มติดอาวุธดังกล่าวประณามการปกครองของรัฐบาลไนจีเรียภายใต้การนำของประธานาธิบดีมูฮัมมาดู บูฮารี ว่าเป็นต้นตอสำคัญที่ผลักดันให้เกิดความแตกแยกของประเทศ และว่าประชาชนในเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ไม่ต้องการอยู่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับ “รัฐที่ล้มเหลว” อย่างไนจีเรียอีกต่อไป
คำแถลงของกลุ่มไนเจอร์ เดลตา อเวนเจอร์ส ระบุด้วยว่า การแยกตัวเป็นเอกราชของฝ่ายตนในวันที่ 1 ตุลาคม ถือเป็นวันเดียวกับวันคล้ายวันครบรอบการเป็นเอกราชของไนจีเรีย ที่หลุดพ้นจากการปกครองของสหราชอาณาจักร เมื่อปี ค.ศ. 1960
ความเคลื่อนไหวในการประกาศเดินหน้าแยกตัวเป็นเอกราช มีขึ้นหลังจากที่กลุ่มติดอาวุธไนเจอร์ เดลตา อเวนเจอร์ส เปิดฉากโจมตีโรงกลั่นและท่อส่งน้ำมันในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้เป็นต้นมา โดยการโจมตีที่เกิดขึ้นได้สร้างความเสียหายแก่อุตสาหกรรมน้ำมันของไนจีเรียอย่างใหญ่หลวง จนกำลังการผลิตน้ำมันของประเทศลดลงเหลือไม่ถึง 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากที่เคยผลิตได้สูงถึงวันละ 2.1 ล้านบาร์เรลเมื่อต้นปี 2016 เช่นเดียวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับการลงทุนของบริษัทพลังงานต่างชาติในไนจีเรีย ที่รวมถึงบริษัทพลังงานชื่อดังอย่าง เชลล์, เอ็กซอน, เชฟรอน และเอนิ
ทั้งนี้ รายได้จากอุตสาหกรรมน้ำมันมีสัดส่วนสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ของรัฐบาลไนจีเรีย ขณะที่กลุ่มติดอาวุธไนเจอร์ เดลตา อเวนเจอร์ส ระบุว่า สาเหตุที่พวกตนต้องจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลไนจีเรีย และต้องการแยกตัวเป็นเอกราชนั้น เป็นเพราะไม่พอใจที่ประชาชนในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนเจอร์ไม่ได้รับส่วนแบ่งการพัฒนาที่เท่าเทียมกับพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของไนจีเรีย ทั้งที่พื้นที่ของตนเป็นแหล่งน้ำมันที่นำรายได้เข้าประเทศมหาศาล