ทรัมป์ชี้ปมสอบอีเมลฉาวจะลากยาวหลายปี ฝั่งเดโมแครตรุมถล่มเอฟบีไอสองมาตรฐาน

เอเจนซีส์ – คู่ชิงทำเนียบขาวเปิดศึกน้ำลายเผ็ดร้อน ทรัมป์ขู่อเมริกาเจอวิกฤตรัฐธรรมนูญ หากคลินตันชนะ เนื่องจากคดีอีเมลฉาวจะตามหลอกหลอนตลอดสมัย ด้านอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งหยันคู่แข่งจากรีพับลิกันไม่รู้จักนิวเคลียร์ ถึงได้ต้องการให้ประเทศต่างๆ มีไว้ในครอบครอง พร้อมกันนี้ทางฝั่งเดโมแครตยังถล่มผู้อำนวยการเอฟบีไอว่าสองมาตรฐานและเข้าข้างรีพับลิกันออกนอกหน้า กระทั่งโอบามาต้องออกมารับรองว่า ผอ.เอฟบีไอซื่อสัตย์สุจริต

โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศกับผู้สนับสนุนในแกรนด์ ราปิดส์ รัฐมิชิแกนเมื่อวันจันทร์ (31 ต.ค.) ว่าการสอบสวน ฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต จะยืดเยื้อนานเป็นปีและอาจมีการดำเนินคดีในชั้นศาล

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากที่สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) แจ้งรัฐสภาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (28 ต.ค.) ว่ากำลังตรวจสอบอีเมลที่เพิ่งค้นพบใหม่ ที่อาจเกี่ยวข้องกับการใช้เซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวของคลินตันระหว่างดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศปี 2009-2013

ในวันจันทร์ คลินตันย้ำอย่างมั่นใจว่า เอฟบีไอจะไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ และได้ข้อสรุปเช่นเดียวกับเมื่อต้นปี

เจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการเอฟบีไอไม่ได้เปิดเผยข้อมูลมากนักเกี่ยวกับอีเมลที่กำลังตรวจสอบ นอกจากบอกว่า พบระหว่างการตรวจสอบสามีของผู้ช่วยระดับสูงของคลินตัน

ก่อนหน้านี้ เอฟบีไอใช้เวลาราวหนึ่งปีตรวจสอบการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมลส่วนตัวของคลินตันขณะคุมกระทรวงต่างประเทศ และโคมีย์สรุปในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า คลินตันและทีมงาน “เลินเล่อร้ายแรง” ในการจัดการข้อมูลที่เป็นความลับของรัฐบาล แต่ไม่มีมูลเหตุเพียงพอให้ดำเนินคดี

ในครั้งนั้น โคมีย์ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากพรรครีพับลิกัน มาหนนี้นายใหญ่เอฟบีไอก็ถูกพลพรรคเดโมแครตรุมอัดไม่ไว้หน้า แฮร์รี รีด ผู้นำเดโมแครตในวุฒิสภา กล่าวหาโคมีย์ว่าสองมาตรฐานเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลอ่อนไหวและดูเหมือนจงใจอย่างชัดเจนที่จะช่วยพรรคการเมืองหนึ่ง

รีดแจกแจงโดยไม่ได้ให้หลักฐานว่า เอฟบีไอปิดบัง “ข้อมูลที่อาจสร้างความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น” เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างแคมเปญหาเสียงของทรัมป์กับเจ้าหน้าที่รัสเซีย

ร็อบบี้ มุค ผู้จัดการแคมเปญหาเสียงของคลินตัน ระบุว่า เอฟบีไอเพิกเฉยต่อการร้องเรียนของรีดเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาให้เข้าตรวจสอบว่า มอสโกอยู่เบื้องหลังการเจาะบัญชีอีเมลของพรรคหรือไม่ โดยให้เหตุผลว่าใกล้การเลือกตั้งเกินไป

ทั้งนี้ ในจดหมายที่ส่งถึงโคมีย์เมื่อสามเดือนที่แล้วนั้น รีดขอให้เอฟบีไอตรวจสอบว่า พวกพ้องของทรัมป์ร่วมมือกับเครมลินเพื่อแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาหรือไม่ โดยอ้างรายงานที่ระบุว่า ที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศของทรัมป์พบกับพันมิตรของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน เมื่อเดือนกรกฎาคม รวมถึง โรเจอร์ สโตน ที่ทำงานให้รีพับลิกันมานานมีการติดต่อกับวิกิลีกส์

อย่างไรก็ตาม วันจันทร์ จอช เออร์เนสต์ โฆษกทำเนียบขาวได้ออกมาเคลียร์เรื่องนี้โดยแถลงว่า ประธานาธิบดี บารัค โอบามา สังกัดพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งโคมีย์ในปี 2013 เชื่อว่าผู้อำนวยการเอฟบีไอเป็นคนซื่อสัตย์ และไม่ได้พยายามโน้มน้าวผลการเลือกตั้ง

ขณะที่เหลือเวลาอีกเพียง 8 วันก่อนถึงการเลือกตั้ง ทั้งคลินตันและทรัมป์ต่างเพิ่มดีกรีจิกกัดเรื่องส่วนตัวและความพร้อมในการกุมทำเนียบขาวกันอย่างดุเดือด

ทรัมป์ที่เรียกขานคลินตันจนติดปากว่า “ฮิลลารีขี้โกง” ฉวยโอกาสทองนี้โน้มน้าวผู้มีสิทธิ์ออกเสียงว่า การเลือกคลินตันจะนำไปสู่วิกฤตรัฐธรรมนูญซึ่งอเมริกาไม่สามารถรับมือได้ เนื่องจากการสอบสวนพฤติกรรมการใช้อีเมลของอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งผู้นี้จะยืดเยื้อเป็นปี รวมทั้งยังบ่งชี้ว่า เธอไม่ใช่แบบอย่างที่ดีสำหรับเยาวชนอเมริกัน เนื่องจากจงใจละเมิดกฎหมายครั้งแล้วครั้งเล่า

ด้านคลินตันระดมโจมตีความสามารถของทรัมป์ในการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ โดยกล่าวหาว่า มหาเศรษฐีจากนิวยอร์กผู้นี้ไม่เข้าใจว่า ทำไมอเมริกาจึงไม่สามารถใช้อาวุธนิวเคลียร์ตามใจชอบได้ มิหนำซ้ำยังต้องการให้ประเทศต่างๆ มีอาวุธนี้ในครอบครอง

คลินตันที่มีคะแนนนำฉลุยในโพลล์ของสำนักต่างๆ ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทรัมป์ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากคลิปเมื่อปี 2005 ที่เขาโอ้อวดเรื่องการลวนลามสาวด้วยถ้อยคำหยาบคายนั้น บัดนี้กลับกลายเป็นฝ่ายตั้งรับจากเรื่องอีเมลของตัวเอง แถมคะแนนนิยมยังนำทรัมป์เพียงแค่เล็กน้อยตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์

ผลสำรวจล่าสุดจากรอยเตอร์/อิปซอสส์พบว่า ผู้ที่มีแนวโน้มออกไปใช้สิทธิ์ 44% ชื่นชอบคลินตัน ส่วนทรัมป์ได้ไป 39% อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ข่าวฉาวจากอีเมลในอดีตจะส่งผลต่อการสนับสนุนคลินตันมากน้อยเพียงใด เนื่องจากผู้มีสิทธิ์ใช้เสียงหลายล้านคนลงคะแนนล่วงหน้าไปแล้ว

นอกจากนั้น คลินตันยังมีภาษีดีกว่าในหมู่คณะตัวแทนผู้เลือกตั้ง ในแต่ละรัฐที่จะลงคะแนนเลือกประธานาธิบดี โดยแคนดิเดตจากเดโมแครตมีคะแนนนำในรัฐที่คะแนนเสียงยังไม่แน่นอนอย่างเพนซิลเวเนียและนิวแฮมป์เชียร์ ซึ่งทรัมป์ต้องกวาดคะแนนขาดลอยจึงจะชนะ