xs
xsm
sm
md
lg

โต้วาทียกสามทรัมป์แพ้ลุ่ยเหมือนเดิม แย้มอาจไม่รับผลโหวตถ้าคลินตันชนะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

<em> <br><FONT color=#000033>ในศึกโต้วาทีครั้งสุดท้ายระหว่างผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากเดโมแครตและรีพับลิกัน ผลโพลล์หลายสำนักยังยกให้คลินตันเหนือกว่าทรัมป์. -- Reuters/Mike Blake.</font></b> </em>

เอเจนซีส์ - ทรัมป์ท้าทายเสาหลักระบอบประชาธิปไตยอเมริกัน และสร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วแวดวงการเมือง ด้วยการแบไต๋อาจไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งวันที่ 8 เดือนหน้า หากตัวเองแพ้ ระหว่างการดีเบตครั้งสุดท้าย ซึ่งไม่เพียงถูกตอบโต้จากคลินตันเท่านั้น แต่ยังเรียกเสียงติฉินจากสมาชิกพรรครีพับลิกันด้วยกัน ขณะที่โพลหลังการโต้วาที ชี้ แคนดิเดตจากเดโมแครตยังครองชัยชนะขาดลอยเช่นเดียวกับสองครั้งแรก

เมื่อถูก คริส วอลเลซ ผู้ดำเนินรายการโต้วาทีที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 และครั้งสุดท้ายเมื่อวันพุธ (19) ถามว่า จะยอมรับการผ่องถ่ายอำนาจโดยดีหรือไม่ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน ตอบว่า จะปล่อยให้เดากันไปก่อน เมื่อถึงเวลานั้นจะบอกเอง

แม้คำตอบนี้อาจถูกใจกลุ่มแฟนคลับที่ต่อต้านสถาบัน แต่ไม่มีแนวโน้มช่วยพลิกคะแนนนิยมของทรัมป์คืนกลับมาแม้แต่น้อยนิด ซึ่งรวมถึงในรัฐที่อาจชี้ขาดผลการเลือกตั้งวันที่ 8 เดือนหน้า

ด้าน ฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต โจมตีทันควันว่า ทรัมป์กำลังทำลายระบอบประชาธิปไตยอเมริกันที่ยืนยงมา 240 ปี รวมถึงการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม

อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งยังให้สัมภาษณ์หลังลงจากเวที ว่า สิ่งที่ทรัมป์พูดในการดีเบตเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการโยนความผิดให้คนอื่นสำหรับแคมเปญหาเสียงที่กำลังจมดินของตัวเอง

ทั้งนี้ ผลสำรวจของซีเอ็นเอ็น/โออาร์ซี ที่ออกมาทันทีหลังการดีเบต ระบุว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 52% ให้คลินตันชนะ มีแค่ 39% ที่เห็นว่า ทรัมป์มีชัย ขณะที่โพลของเรียลเคลียร์โพลิติกส์ ชี้ว่า คลินตันมีคะแนนนิยมนำทรัมป์ทั่วประเทศเฉลี่ยกว่า 6% และโพลของมหาวิทยาลัยควินนิแพ็ก พบว่า ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเพศหญิง 52% เทคะแนนให้คลินตัน ส่วนทรัมป์ได้เพียง 37%

แม้แต่สมาชิกรีพับลิกันด้วยกันยังออกมาประณามทรัมป์ อาทิ วุฒิสมาชิกลินด์ซีย์ เกรแฮม และอดีตผู้ลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์จากนิวยอร์กมาตลอด ที่บอกว่า ถ้าทรัมป์แพ้คงไม่ใช่เพราะระบบการเลือกตั้งมีช่องโหว่ แต่เป็นเพราะตัวเขาเองที่ล้มเหลวในฐานะแคนดิเดต

อย่างไรก็ดี ยังมีสมาชิกพรรคบางส่วนที่พร้อมปกป้องทรัมป์ อย่างเช่น เบน คาร์สัน อดีตศัลยแพทย์ประสาทที่ลงแข่งขันเพื่อให้ได้รับการเสนอชื่อจากรีพับลิกันในการชิงทำเนียบขาวครั้งนี้ ที่แก้ตัวว่า ทรัมป์หมายความว่า เขาจะพูดบางอย่างถ้ามีการโกงเลือกตั้งชัดเจน แต่ไม่ได้บอกว่า จะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง

ไมค์ เพนซ์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีคู่กับทรัมป์ ยืนยันอีกเสียงว่า ทรัมป์จะยอมรับผลการเลือกตั้ง เพราะเขาจะเป็นผู้ชนะ
.

.

.

.
ในการดีเบตครั้งสุดท้ายและเป็นครั้งแรกที่มุ่งเรื่องนโยบายมากกว่าเรื่องส่วนตัว กระนั้น แคนดิเดตทั้งคู่ยังคงฟาดฟันกันไม่ไว้หน้า ทรัมป์ เรียกคลินตันว่า “ผู้หญิงน่าชัง” พร้อมกล่าวหาทีมเลือกตั้งของอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศผู้นี้สบคบกับสื่อเต้าข่าวว่า ตนลวนลามผู้หญิงตามอำเภอใจ ทั้งที่ไม่มีใครให้เกียรติผู้หญิงมากกว่าตัวเองอีกแล้ว และยังว่า ทั้ง คลินตัน และประธานาธิบดี บารัค โอบามา อยู่เบื้องหลังเหตุอลวนวุ่นวายในการหาเสียงของตน

อดีตพิธีกรเรียลิตีโชว์ปากเปราะพล่ามว่า คลินตันไม่ควรได้รับอนุญาตให้ลงเลือกตั้งด้วยซ้ำ เพราะบกพร่องรุนแรงในการใช้อีเมลและเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ

ด้าน คลินตัน ตอบโต้ว่า ทรัมป์ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง เหยียดหยามผู้หญิง และทำให้อเมริกาตกอยู่ในอันตราย และสำทับว่า ทรัมป์ เคยบ่นว่า รายการทีวีของตัวเองถูกปฏิเสธรางวัลเอมมี่โดยไม่เป็นธรรม

ผู้สมัครทั้งคู่ยังแลกหมัดกันเรื่องการทำแท้ง สิทธิในการครอบครองอาวุธปืน และคนเข้าเมือง

คลินตันประกาศว่า จะขึ้นภาษีคนรวยไปช่วยอุดหนุนโครงการสวัสดิการสังคม และสำทับว่า ทรัมป์จะต้องจ่ายภาษีแพงขึ้น เว้นแต่จะหาทางเลี่ยงได้

อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งเมืองลุงแซม ยังเรียกทรัมป์ว่า “หุ่นกระบอกของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน” ขณะที่นักธุรกิจพันล้านจากนิวยอร์ก ย้ำว่า ผู้นำรัสเซียฉลาดล้ำกว่าคลินตันหลายเท่า ทั้งยังอ้างว่า ตนสามารถจัดการความสัมพันธ์กับรัสเซียได้ดีกว่าผู้สมัครจากเดโมแครต

เช่นเดียวกับการโต้วาทีครั้งที่แล้ว คลินตัน และทรัมป์ เดินตรงไปยังแท่นของตัวเองโดยไม่เสียเวลาจับมือกัน เมื่อได้รับการขานชื่อบนเวทีดีเบตที่จัดที่มหาวิทยาลัยเนวาดา ในลาสเวกัส รวมทั้งไม่สนใจร่ำลากันเมื่อจบรายการ

.

.
กำลังโหลดความคิดเห็น