เอเอฟพี – เมื่อวานนี้ (17 ต.ค.) เวียนนาประกาศรื้อบ้านที่มีอายุถอยหลังไปอย่างน้อยในปี 1889 ซึ่งเคยถูกใช้เป็นที่เกิดของอดีตผู้นำนาซีเยอรมัน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ท่ามกลางความยืดเยื้อการต่อสู้ทางกฎหมายมาอย่างยาวนานนับปีกับเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ในปัจจุบัน หลังรัฐบาลออสเตรีย เกรงว่า บ้านหลังดังกล่าวอาจกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งใหม่ให้กับกลุ่มหัวรุนแรงนีโอนาซี
เอเอฟพีรายงานเมื่อวานนี้ (17 ต.ค.) ว่า รัฐมนตรีมหาดไทยออสเตรีย โวลฟ์กัง โซโบตกา (Wolfgang Sobotka) แถลงผ่านหนังสือพิมพ์ ดี เพรสเซอ (Die Presse) ในวันจันทร์ (17 ต.ค.) ว่า “บ้านของฮิตเลอร์จะต้องถูกรื้อแต่มูลนิธิยังคงอยู่ต่อไปได้ แต่จะต้องมีการก่อสร้างตึกหลังใหม่ขึ้นแทน ซึ่งจะถูกใช้เพื่อการสาธารณกุศล หรือสำหรับหน่วยงานท้องถิ่น”
และกล่าวต่อว่า “ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด จะไม่มีความเชื่อมโยงกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์อีก เพราะไม่เช่นนั้นจะเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านเกิดของฮิตเลอร์จะยังคงอยู่ต่อไป”
ทั้งนี้ รัฐมนตรีมหาดไทยออสเตรีย เปิดเผยว่า คำสั่งรื้อถอนบ้านเกิดฮิตเลอร์ที่มีอายุย้อนไปอย่างต่ำตั้งแต่ปี 1889 นั้นเกิดขึ้นจากคำแนะนำของชุดกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 13 คนที่รับทำหน้าที่ตัดสินใจต่อคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเมืองเบราเนาอัมอินน์ ( Braunau am Inn)
เอเอฟพี รายงานว่า ทั้งนี้ เวียนนาหวังว่า จะสามารถยุติคดีความที่ยืดเยื้อเกี่ยวกับบ้านหลังใหญ่สีเหลืองตรงมุมถนนที่ผู้นำนาซีถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 20 เมษายน 1889
แต่ถึงแม้ว่าฮิตเลอร์จะอาศัยในช่วงแค่ไม่กี่สัปดาห์แรกของชีวิตที่บ้านหมายเลข 15 ถนนซาลบูร์เกอร์ วอลชตัดต์ (Salzburger Vorstadt) แต่ทว่าสถานที่นี้กลายเป็นสัญลักษณ์ให้กับผู้ที่นิยมในลัทธินีโอนาซีจากทั่วทุกมุมโลก ให้เดินทางมาถ่ายภาพคู่คฤหาสน์ขนาด 3 ชั้น พร้อมทำเครื่องหมายสัญลักษณ์ทำความเคารพแบบนาซีเยอรมัน
เอเอฟพี รายงานว่า มีรายงานรัฐบาลออสเตรียต้องตกอยู่ในระหว่างความขัดแย้งระหว่างเจ้าของบ้านเกิดฮิตเลอร์คนปัจจุบัน เกอร์ลินด์ พอมเมอร์ (Gerlinde Pommer) และรัฐบาลท้องถิ่นออสเตรีย ซึ่งพบว่าคฤหาสน์หลังนี้ไม่มีใครเข้าอยู่อาศัยนับตั้งแต่ปี 2011
ทั้งนี้ ครอบครัวพอมเมอร์เป็นเจ้าของบ้านที่มีพื้นที่ราว 800 ตารางเมตรหลังนี้ มานานกว่า 100 ปีแล้ว ยกเว้นแต่ในช่วงสมัยนาซีเยอรมันเรืองอำนาจ และ มาร์ติน บอร์มานน์ (Martin Bormann) เลขาส่วนตัวของฮิตเลอร์ได้เข้ามาซื้อคฤหาสน์หลังนี้ต่อ โดยให้สนนราคาสูงกว่า 4 เท่าของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ในปี 1938
แต่หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 บ้านหลังนี้ตกมาเป็นของครอบครัวพอมเมอร์อีกครั้ง
และในปี 1972 รัฐบาลออสเตรียได้ทำสัญญาเช่ากับครอบครัวพอมเมอร์ และได้ใช้บ้านหลังนี้เป็นศูนย์สำหรับคนพิการ แต่ทว่าสัญญาที่ทำขึ้นเกิดสิ้นสุดอย่างกะทันหันเมื่อ 5 ปีล่าสุดจากสาเหตุที่เจ้าของเกอร์ลินด์ พอมเมอร์ ตัดสินใจไม่อนุญาตให้มีการปรับปรุงครั้งใหญ่ รวมไปถึงยังปฎิเสธการขอเข้าซื้อขาดจากกระทรวงมหาดไทยออสเตรีย
ซึ่งในเดือนกรกฎาคมล่าสุด เวียนนาออกคำสั่งอนุมัติกฎหมายอนุญาตให้ทางรัฐสามารถทำการยึดบ้านจากพอมเมอร์ที่ยังคงมีรายได้จากค่าเช่าต่อเดือน 4,800 ยูโร หรือ 5,300 ดอลลาร์
โดยโซโบตกาแถลงในวันจันทร์ (17 ต.ค.) ว่า ร่างกฎหมายการยึดทรัพย์สินจะถูกนำเข้าไปยังรัฐสภาออสเตรียเพื่อการอภิปรายในสัปดาห์นี้ และคาดว่า จะสามารถนำมาบังคับใช้ได้ภายในปลายปี 2016
