เอเจนซีส์ - การดีเบตรอบที่ 2 ระหว่างผู้สมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเปิดฉากขึ้นเมื่อวานนี้ (9 ต.ค.) ดำเนินไปอย่างเข้มข้นดุเดือด โดยมหาเศรษฐี โดนัลด์ ทรัมป์ พยายามแก้ต่างเรื่องคลิปเสียงที่ตนพูดจาลามกว่าเป็นเพียง “บทสนทนาในห้องล็อกเกอร์” ซึ่งเทียบไม่ได้กับประวัติการนอกใจภรรยาของอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน ซึ่งเป็นสามีของฮิลลารี คลินตัน ขณะที่อดีตรัฐมนตรีหญิงก็สวนกลับว่า คำพูดหยาบโลนและดูถูกผู้หญิงในคลิปดังกล่าวแสดงให้เห็น “ตัวตนที่แท้จริง” ของ ทรัมป์
มหาเศรษฐีปากเปราะยังขู่ด้วยว่า หากตนได้เป็นประธานาธิบดีก็จะแต่งตั้งอัยการพิเศษเพื่อเอาตัว คลินตัน เข้าคุก โทษฐานใช้อีเมลส่วนตัวขณะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ จนเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
การประชันวิสัยทัศน์เป็นเวลา 90 นาทีเริ่มต้นด้วยบรรยากาศอึมครึม เมื่อผู้สมัครทั้งสองฝ่ายทักทายกันโดยไม่มีการจับมือ ก่อนที่การโต้วาทีจะเริ่มเข้าสู่ประเด็นคลิปเสียงปี 2005 ที่ถูกเผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (7 ต.ค.) โดยในคลิปดังกล่าว ทรัมป์ได้ใช้คำพูดหยาบโลนบรรยายเรื่องที่ตนเคยมีสัมพันธ์สวาทกับหญิงที่มีสามีแล้ว และยังโอ้อวดเรื่องการ “จับ” ของสงวนของผู้หญิงโดยที่เจ้าตัวไม่เต็มใจ
“ถ้าพวกคุณลองมองไปที่ บิล คลินตัน เขาเลวร้ายกว่าผมเยอะ” ทรัมป์ กล่าว
“ของผมก็แค่คำพูด ส่วนเขาน่ะการกระทำ”
ทรัมป์ วัย 70 ปี บอกด้วยว่า “ไม่เคยมีนักการเมืองคนไหนในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่ล่วงละเมิดผู้หญิงมากเท่านี้อีกแล้ว”
ทรัมป์ ยังกล่าวหา ฮิลลารี คลินตัน ว่าไปตามราวีผู้หญิงที่เคยมีสัมพันธ์ลับๆ กับสามีของเธอ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างปี 1993-2001
อดีตรัฐมนตรีหญิงไม่หลงกลติดกับของทรัมป์ โดยระบุว่า เธอเชื่อในคำเตือนที่ว่า “ถ้าใครมาต่ำ ก็ให้เราก้าวขึ้นที่สูง” และสิ่งที่ ทรัมป์ พูดออกมาในคลิปก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาไม่มีคุณสมบัติดีพอที่จะเป็นผู้นำทำเนียบขาว
“เขาบอกว่าคลิปนั่นไม่ใช่ตัวตนของเขา แต่ดิฉันคิดว่าใครก็ตามที่ได้ฟังคงจะเห็นว่า นี่แหละตัวตนแท้ๆ ของเขาเลย”
ทรัมป์ ซึ่งเป็นอดีตดาราเรียลิตีโชว์ยังขุดคุ้ยเรื่องที่ คลินตัน ใช้อีเมลส่วนตัวรับ-ส่งข้อมูลขณะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ โดยบอกเธอว่า “คุณควรจะละอายแก่ใจบ้าง”
คลินตัน ชี้ว่า “ช่างโชคดีเหลือเกินที่คนซึ่งมีวุฒิภาวะด้านอารมณ์ต่ำอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้เป็นคนออกกฎหมายในประเทศนี้”
มหาเศรษฐีปากเปราะสวนกลับทันทีว่า “เพราะคุณจะถูกส่งเข้าคุกไง”
หลังจากสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ได้ใช้เวลาตรวจสอบอีเมลของคลินตัน เป็นเวลาถึง 1 ปี ผู้อำนวยการเอฟบีไอ เจมส์ โคมีย์ ก็ออกมาแถลงในปีนี้ว่า คลินตัน “สะเพร่าอย่างยิ่ง” ในการจัดการข้อมูลลับของรัฐบาล ทว่าไม่มีการยื่นฟ้องเอาผิดใดๆ กับเธอ
คลินตันยืนยันว่า “ไม่มีหลักฐาน” บ่งชี้ว่าเซอร์เวอร์ส่วนตัวของเธอเคยถูกแฮ็ก หรือข้อมูลลับของรัฐบาลต้องตกไปอยู่ในมือศัตรูเพราะการกระทำของเธอ
“ดิฉันใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการจัดการข้อมูลลับ” เธอกล่าว
ทรัมป์ พยายามรุกไล่ คลินตัน ต่อไปว่า “คุณบอกว่าการลบอีเมลทิ้ง 33,000 ฉบับไม่เป็นไร แต่ผมว่าไม่จริง”
รัฐมนตรีหญิงส่ายหน้า และตอบว่า “เดี๋ยวก่อน... เรื่องนั้นไม่เป็นความจริง”
คลินตันชี้ว่า ทรัมป์พยายามเลี่ยงที่จะดีเบตเรื่องนโยบาย “เพราะแคมเปญของคุณกำลังแย่ และคนในพรรครีพับลิกันก็กำลังทอดทิ้งคุณ”
สมาชิกพรรครีพับลิกันจำนวนมากถอนการสนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากที่ได้ยินคลิปเสียงลามก ซึ่งกลายเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดตลอดการหาเสียงของ ทรัมป์ ในช่วง 16 เดือนที่ผ่านมา และยิ่งทำให้รอยร้าวระหว่างเขากับบรรดาแกนนำรีพับลิกันยากที่จะต่อติด
การประชันวิสัยทัศน์ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันในเมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี ถูกจัดขึ้นแบบ town-hall style ซึ่งคำถามครึ่งหนึ่งมาจากประชาชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียง และอีกครึ่งมาจากพิธีกรผู้ดำเนินรายการ โดยผู้สมัครประธานาธิบดีทั้งสองสามารถเดินไปได้รอบๆ เวทีเพื่อชี้แจงกับผู้ที่ตั้งคำถามได้โดยตรง
อย่างไรก็ดี ทรัมป์ ได้วิจารณ์การทำหน้าที่พิธีกรของ แอนเดอร์สัน คูเปอร์ จากซีเอ็นเอ็น และ มาร์ธา แรดแดตซ์ จากเอบีซีนิวส์ ว่าเหมือนกับตนถูก “3 รุม 1”
ทรัมป์ และ คลินตัน ยังได้ปะทะคารมกันในเรื่องภาษี, ระบบสาธารณสุข, นโยบายที่สหรัฐฯ มีต่อสงครามซีเรีย รวมไปถึงเรื่องที่อดีตรัฐมนตรีหญิงเคยดูหมิ่นผู้สนับสนุน ทรัมป์ ว่าเป็นพวก “น่าสังเวช”
“หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ดิฉันก็ได้ออกมาขอโทษที่พูดไปเช่นนั้น เพราะจริงๆ แล้วดิฉันไม่เคยมีปัญหากับผู้ที่สนับสนุนเขา แต่เป็นตัวเขาต่างหาก” คลินตัน กล่าว
ทรัมป์ วิจารณ์การทำงานของ คลินตัน สมัยที่เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ โดยพูดย้ำหลายครั้งว่าเป็น “ความล้มเหลว”
“เธอพูดจาขึงขังเสียเหลือเกิน... เธอพูดถึงกบฏ ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากบฏพวกนั้นเป็นใคร”
“ความจริงก็คือ สิ่งที่เธอทำเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศแทบทุกอย่างเป็นความผิดพลาด และเป็นหายนะ”
ทรัมป์ ยังประกาศว่าไม่เห็นด้วยกับ ไมค์ เพนซ์ คู่ชิงรองประธานาธิบดีของตนเอง ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ขึ้นเวทีดีเบตกับ ส.ว. ทิม เคน คู่หูของคลินตัน และพูดในทำนองว่า สหรัฐฯ ควรเตรียมแผนส่งกำลังทหารเข้าไปยังซีเรียหากมีความจำเป็น
“ผมกับเขายังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ และผมก็ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาเสนอ” ทรัมป์ กล่าว
ก่อนที่การดีเบตจะเริ่มขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทรัมป์ ได้พบปะกับผู้หญิง 3 คนที่เคยตกเป็นข่าวถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยประธานาธิบดีบิล คลินตัน และ เคธี เชลตัน หญิงสาวอีกคนหนึ่งที่เป็นเหยื่อในคดีข่มขืน ซึ่ง ฮิลลารี คลินตัน เคยเป็นทนายแก้ต่างให้ฝ่ายจำเลย
สตรีทั้ง 4 คนได้มานั่งฟังการดีเบตอยู่แถวหน้าสุด
ผู้หญิงที่ตกเป็นข่าวกับคลินตัน ทั้ง 3 คน ได้แก่ พอลา โจนส์ ซึ่งยื่นฟ้อง คลินตัน ฐานล่วงละเมิดทางเพศเมื่อปี 2001, ฮัวนิตา บรอดดริก ซึ่งอ้างว่าตนเคยถูก คลินตัน ข่มขืนในปี 1978 และ แคธลีน วิลลี อดีตผู้ช่วยทำเนียบขาว ซึ่งอ้างว่าถูก คลินตัน กอดจูบและจับต้องของสงวนขณะอยู่ในห้องทำงานรูปไข่เมื่อปี 1993
ประธานาธิบดี คลินตัน ไม่เคยถูกดำเนินคดีจากข้อครหาเหล่านี้ และในกรณีของ พอลา โจนส์ เขาได้ยอมจ่ายเงินให้เธอ 850,000 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อจบเรื่อง แต่ไม่มีคำขอโทษหรือการยอมรับผิด
ในช่วงท้ายของการดีเบต ผู้ดำเนินรายการได้ขอให้ ทรัมป์ และ คลินตัน บอกสิ่งที่ตนเองรู้สึกชื่นชมในตัวอีกฝ่าย ซึ่ง คลินตัน ระบุว่า เธอชื่นชมลูกๆ ของ ทรัมป์ ที่มีความสามารถและอุทิศตนให้แก่บิดา ส่วน ทรัมป์ ก็ชม คลินตัน ว่าเป็น “นักสู้” ที่ไม่เคยยอมแพ้
ผู้สมัครทั้งสองได้หันหน้าเข้าหากันและจับมือ ก่อนจะเดินลงจากเวที
สำหรับการประชันวิสัยทัศน์ครั้งสุดท้ายจะมีขึ้นในวันที่ 19 ต.ค.