เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ – วอยซ์ออฟอเมริการายงานเมื่อวานนี้(3 ต.ค) เหตุการณ์คุกคามจากรัสเซียต่อเจ้าหน้าที่สหรัฐฯอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีล่าสุด เมื่อพบว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 2 รายที่เดินทางด้วยหนังสือเดินทางการทูตเข้าเมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ร่วมประชุมองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านคอร์รัปชันระหว่าง 2-6 พฤศจิกายน 2015 ถูกลอบวางยา จนต้องถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาด่วน แต่สุดอึ้ง เกิดไฟดับระหว่างอยู่ในคลินิกจนไม่สามารถเก็บตัวอย่างเลือดและเนื้อเยื่อได้ ทำให้สหรัฐฯตัดสินใจส่งตัวเจ้าหน้าที่รายนี้บินด่วนออกนอกรัสเซียกะทันหัน
วอยซ์ออฟอเมริกา รายงานเมื่อวานนี้(3 ต.ค) เปิดเผยถึงเหตุการณ์สุดระทึกเมื่อ เจ้าหน้าทีสหรัฐฯ 2 คนถูกส่งไปร่วมการประชุมขององค์การสหประชาชาติว่าด้วย การต่อต้านคอร์รัปชัน ในเมืองเซนต์ปีเตอร์เบิรก์ รัสเซีย เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่ผ่านมา แต่กลับพบว่า นักการทูตสหรัฐฯถูกลอบวางยาในขณะที่อยู่ในบาร์ของโรงแรมเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก และพบว่า 1 ใน 2 ต้องถูกส่งตัวเพื่อเข้ารับการรักษาตัวต่อในคลินิกของเมือง สร้างความวิตกกังวลให้กับกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯเป็นอันมาก และทำการประท้วงอย่างเงียบๆต่อมอสโก แหล่งข่าวรัฐบาลสหรัฐฯเปิดเผย
และเหตุการณ์ลอบทำร้ายต่อเนื่องเกิดขึ้นอีกครั้งในเดือนมิถุนายนปีนี้ เมื่อนักการทูตสหรัฐฯรายหนึ่งทำร้ายบริเวณด้านนอกสถานทูตสหรัฐฯกลางกรุงมอสโกจากฝีมือของเจ้าหน้าที่รัสเซีย FSB ทำให้เจ้าหน้าที่สอบสวนในกรุงวอชิงตัน ดีซีที่อยู่ในระหว่างการสวนคดีเหตุลอบวางยา 2 นักการทูตอเมริกันในเดือนพฤศจิกายน 2015 สรุปว่า ***นี่เป็นรูปแบบการคุกคามอย่างแน่ชัด***
สื่อสหรัฐฯรายงานว่า ด้านกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯให้ข้อมูลว่า การคุกคามอย่างเป็นรูปแบบได้เกิดขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สร้างความวิตกให้กับทางสหรัฐฯเป็นอย่างมาก
และในการอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ และอดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐฯที่รับรู้ในคดีการวางยาในครั้งนี้เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ทูตสหรัฐฯที่ตกเป็นเป้าหมายเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการจากอเมริกาเพื่อไปร่วมการประชุมการต่อต้านคอร์รัปชันขององค์การสหประชาชาติ (Conference of the States Parties to the United Nations Convention against Corruption) ซึ่งถูกจัดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 2-6 พฤศจิกายน 2015 ในเมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก รัสเซีย
วอยซ์ออฟอเมริกาชี้ว่า ซึ่งถือเป็นปีแรกในการประชุมที่ถูกจัดในรัสเซียที่ตัวแทนรัฐบาลกลางสหรัฐฯได้รับอนุญาตให้เดินทางไปเข้าร่วมได้นับตั้งแต่สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และพันธมิตรได้ลงโทษคว่ำบาตรรัสเซียจากปัญหาผนวกไครเมียในปี 2014
และในรายชื่อผู้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ พบว่ามีตัวแทนมาจากทั่วโลก รวมไปถึงตัวแทน 21 คนของสหรัฐฯที่ถูกส่งมาจากสำนักงานต่างๆภายใต้กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯและกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ และนอกจากนี้ยังพบว่ามีชาวอเมริกันอื่นๆได้รับเชิญให้เข้าร่วม เป็นต้นมาจากสถาบันการศึกษา และจากหน่วยงานNGO
ทั้งนี้ในรายงานสื่อสหรัฐฯพบว่า ได้มีการติดต่อตัวแทนจากหน่วยงานNGO ผู้ที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมยูเอ็นในครั้งนั้นเพื่อสอบถามถึงการถูกลอบวางยา แต่ทว่าคนเหล่านั้นกลับตอบกลับมาว่าไม่ทราบเรื่องถึงเหตุดังกล่าว
ในขณะที่แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯชี้ว่า เจ้าหน้าที่สอบสวนอเมริกันสรุปว่า ตัวแทนเจ้าหน้าที่อเมริกันที่เป็น ชาย 1 หญิง 1 นั้นถูกวางยาสลบ “Date Rape Drug” ที่มีอาการเสียความควบคุมตัว รูสึกเหมือนกำลังมึนเมาโดยที่ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ พูดจาไม่รู้เรื่อง คลื่นไส้ สายตาพล่ามัว สับสนไม่สามารถจำอะไรได้ รวมไปถึงหมดสติ ซึ่งเกิดขึ้นในบาร์ของโรงแรมเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ซึ่งเป็นที่พักของเจ้าหน้าที่ทั้งสอง
และพบว่า หนึ่งในนั้นถึงขั้นไม่สามารถเคลื่อนไหวได้จนต้องนำส่งตัวไปยังเวิสเทิร์น เมดิคอล คลินิกในเมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์กเพื่อทำการรักษาโดยด่วน และเจ้าหน้าที่รายนี้ถูกระบุให้ต้องรับการตรวจเลือดและเนื้อเยื่อเพื่อค้นหาถึงสาเหตุการล้มป่วยกะทันหัน แต่อย่างไรก็ตาม วอยซ์ออฟอเมริการะบุอย่างชัดเจนว่า ในระหว่างที่นักการทูตอเมริกาผู้นี้อยู่ภายในคลินิกแห่งนี้ กลับเกิดเหตุไฟดับอย่างไม่คาดฝันขึ้น และทำให้เจ้าหน้าที่การแพทย์ไม่สามารถนำตัวอย่างเนื้อเยื่อออกมาได้ แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯชี้
ทำให้นักการทูตผู้นี้ต้องถูกส่งตัวขึ้นเครื่องบินด่วนออกนอกประเทศเพื่อรับการรักษาเพิ่มเติม แต่ก็สายเกินกว่าที่จะเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม วอยซ์ออฟอเมริกาได้ให้ความเห็นว่า กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯได้ยื่นประท้วงอย่างลับๆต่อมอสโก โดยให้เหตุผลอย่างน่าเหลือเชื่อว่า ***ตัวแทนที่ถูกส่งเข้าร่วมการประชุมยูเอ็นในเดือนพฤศจิกายนนั้นไม่ใช่เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากการะทรวงต่างประเทศหรือกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ***แต่เมื่อทางฝั่งรัสเซียได้ถามหาหลักฐานจากทางสหรัฐฯในการยืนยันว่า เจ้าหน้าที่อเมริกันถูกวางยา แต่ทว่ากระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯไม่สามารถหาหลักฐานตัวอย่างยืนยันได้
พร้อมกันนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่สอบสวนอเมริกันได้ติดต่อไปยังโรงแรมเซนต์ปีเตอร์เบิร์กเพื่อติดต่อขอตารางบันทึกเวลาในช่วงระหว่างที่เจ้าหน้าที่การทูตสหรัฐฯได้เข้าพัก แต่ทางผู้จัดการโรงแรมกลับให้คำตอบว่า ไม่มีบันทึกที่ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯกล่าว และเสริมว่า และสิ่งนี้ยิ่งสร้างความสงสัยให้กับทางอเมริกาเป็นอย่างมาก
และทำให้ทางรัสเซียตอบอเมริกากลับมาในคดีการลอบวางยาว่า “จากการที่ปราศจากหลักฐานมาสนับสนุน ทำให้รัสเซียไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้” แหล่งข่าวรัฐบาลสหรัฐฯให้ข้อมูลกับสื่อวอยซ์ออฟอเมริกา
การคุกคามของรัสเซียต่อเจ้าหน้าที่อเมริกานั้นเกิดขึ้นมานานหลายปี ก่อนหน้าที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและรัสเซียจะเสื่อมทรามเนื่องจากปัญหายูเครนเสียอีก ซึ่งจากรายงานในปี 2013 ของสำนักงานตรวจสอบกลาง ประจำกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯระบุว่า “เจ้าหน้าที่สหรัฐฯต้องเผชิญหน้ากับความกดดันอย่างหนักจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ความมั่นคงรัสเซียในระดับที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนนับตั้งแต่ยุคสงครามเย็น”
ทั้งนี้อดีตเอกอัคราชทูตสหรัฐฯประจำรัสเซียตั้งแต่ปี2012 – กุมภาพันธ์ 2014 ไมเคิล แม็คฟอล(Michael McFaul) ถูกจู่โจมจากคนของสถานทีโทรทัศน์รัฐบาลรัสเซียเป็นระยะๆ โดยปรากฎตัวบริเวณด้านนอกการพบปะส่วนตัวขอแม็คฟอลโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า ส่งผลทำให้วอชิงตันต้องส่งจดหมายประท้วงไปยังมอสโกเนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัย
และนอกจากนี้ตัวแม็คฟอลยังได้ออกมายอมรับว่า การสนทนาของเขากับคู่สนทนาถูกดักฟัง และส่งต่อไปให้นักข่าวเพื่อเผยแพร่
ด้านแหล่งข่าวกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯระบุว่า ปัญหาการคุกคามโดยรัสเซียเพิ่มอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา "โดยที่ไม่ระบุถึงเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่ได้เกิดขึ้น ทางกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯประสบปัญหาจากการที่เจ้าหน้าที่ของเราถูกปฎิบัติในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา” และกล่าวต่อว่า “ทางกระทรวงได้เพิ่มระดับ และจะยังคงระดับสูงสุดการเฝ้าระวังต่อเหตุการณ์ใดๆก็ตามที่เกิดขึ้น และไม่ได้สอดคล้องกับกฎหมายนานาชาติ”
โดยในเดือนมิถุนายนล่าสุด เกิดเหตุการณ์รอบใหม่อีกครั้งเมื่อชาวอเมริกันคนหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ FSB ทำร้ายเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน บริเวณขั้นบันไดของตัวสถานทูต หลังจากที่ลงจากรถแท็กซีเพื่อเดินเข้าไปภายในสถานทูตสหรัฐฯประจำกรุงมอสโก ซึ่งภายหลังพบว่าชายผู้นี้ถูกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯระบุว่า เป็นนักการทูตสหรัฐฯที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในการปฎิบัติหน้าที่ และเปิดเผยว่านักการทูตอเมริกันผู้นี้ได้แสดงบัตรประจำตัวต่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรัสเซียตามระเบียบปฎิบัติปกติ
แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศรัสเซีย ได้อ้างว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรัสเซียที่มาจากหน่วยงานความมั่นคงหลักรัสเซีย FSB นั้นแค่ทำงานตามหน้าที่ของเขาเท่านั้นคือการปกป้องสถานทูตสหรัฐฯจากบุคคลที่น่าสงสัย ซึ่งเชื่อว่า ดูเหมือนจะเป็นบุคคลที่ปลอมตัวมา
วอยซ์ออฟอเมริการายงานต่อว่า และหลังจากนั้น ทางรัสเซียได้ออกมาเปิดเผยว่า นักการทูตอเมริกันผู้นั้นแท้จริงแล้วเป็น CIA ในคราบนักการทูต ซึ่งสื่อสหรัฐฯชี้ว่า เป็นวิธีการที่ถูกใช้ในหลายประเทศ รวมไปถึงสหรัฐฯและรัสเซีย และเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ทูตสหรัฐฯถูกเจ้าหน้าที่ FSB ทำร้ายนั้นได้รับการบันทึก และเผยแพร่ช่วงเหตุการณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์รัสเซียหลังจากนั้น
และจากเหตุการณ์นี้ส่งผลทำให้ทางวอชิงตันตอบโต้ด้วยการเนรเทศเจ้าหน้าที่การทูตรัสเซียออกนอกสหรัฐฯในวันที่ 17 มิถุนายน 2016 เดลิเมล สื่ออังกฤษรายงานวันที่ 10 กรกฎาคมก่อนหน้านี้