เอเจนซีส์ / MGR online - สหรัฐอเมริกาประกาศในวันอังคาร (27 ก.ย.) มอบเงินช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมจำนวนมากกว่า 41 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,418 ล้านบาท) แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุรุนแรงที่ก่อโดยกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ “โบโก ฮารัม” ในภูมิภาครอบทะเลสาบชาด (Lake Chad region)
การประกาศความช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก 41 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ยอดรวมของความช่วยเหลือทั้งหมดที่สหรัฐอเมริกามอบให้กับภูมิภาคนี้เพิ่มเป็น 359 ล้านดอลลาร์ (ราว 12,425 ล้านบาท) แล้วนับตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ 2015 เป็นต้นมา และความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้เกิดขึ้นในระหว่างการประชุมนอกรอบ หลังการประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติ (United Nations General Assembly) ภายใต้การผลักดันของนางซาแมนธา พาวเวอร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำองค์การสหประชาชาติ
ภูมิภาครอบทะเลสาบชาดดังกล่าว ซึ่งประกอบไปด้วยภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไนจีเรีย ภาคเหนือของแคเมอรูน รวมถึงที่ตั้งของประเทศไนเจอร์ และชาดถูกรุมเร้าด้วยปัญหาความรุนแรงที่ก่อโดยสมาชิกกลุ่มโบโก ฮารัม มายาวนานหลายปี จนส่งผลกระทบให้เกิดภาวะ “ความไม่มั่นคงทางอาหาร” ที่ส่งผลให้ผู้คนมากกว่า 6 ล้านคนในภูมิภาคแห่งนี้ต้องการความช่วยเหลือทางด้านอาหารอย่างเร่งด่วน ขณะที่อีกไม่ต่ำกว่า 2.6 ล้านคนต้องกลายสภาพเป็นผู้ลี้ภัยสงคราม
เมื่อช่วงกลางเดือนนี้ กระทรวงกลาโหมของไนเจอร์แถลงยืนยันว่าสามารถปลิดชีพสมาชิกกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ “โบโก ฮารัม” จากประเทศเพื่อนบ้านอย่างไนจีเรียได้อย่างน้อย 38 ศพ ระหว่างปฏิบัติการกวาดล้างพวกนักรบสุดโต่งในเขตดิฟฟา ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ
รายงานข่าวซึ่งอ้างคำแถลงในวันที่ 17 ก.ย. ของพันเอก มุสตาฟา มิเชล เลอดรู โฆษกกระทรวงกลาโหมของไนเจอร์ ที่มีการถ่ายทอดผ่านสถานีโทรทัศน์ของรัฐ ระบุว่า ปฏิบัติการทางทหารร่วมระหว่างกองทัพของไนเจอร์ กับกองทัพของชาดที่เป็นเพื่อนบ้านสามารถปลิดชีพนักรบกลุ่มโบโก ฮารัมจากไนจีเรียที่รุกล้ำพรมแดนไนเจอร์เข้ามาก่อความรุนแรงในพื้นที่ของเขตดิฟฟาได้แล้วอย่างน้อย 38 ราย แต่มีกำลังพลของกองทัพไนเจอร์ได้รับบาดเจ็บจากการยิงปะทะกับกลุ่มสุดโต่งดังกล่าวอย่างน้อย 5 นาย
ก่อนหน้านี้ กระทรวงมหาดไทยของไนเจอร์แถลงโดยระบุ มีทหารของฝ่ายตนเสียชีวิตจำนวน 5 นาย และมีสมาชิกกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์โบโก ฮารัม ถูกสังหารอย่างน้อย 30 ราย ในระหว่างการยิงปะทะต่อเนื่องนานถึง 5 วันเต็ม
ทั้งนี้ ปัญหาความไม่สงบและเหตุรุนแรงที่ก่อโดยกลุ่มติดอาวุธโบโก ฮารัมที่เริ่มปะทุ ขึ้นตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 2009 ส่งผลให้เวลานี้มีชาวไนจีเรีย และผู้คนในประเทศเพื่อนบ้านรายรอบ “ภูมิภาคทะเลสาบชาด” ทั้ง ชาด แคเมอรูน และไนเจอร์ ได้รับผลกระทบรวมแล้วกว่า 20 ล้านราย
ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดี มูฮัมมาดู บูฮารี ผู้นำไนจีเรียประกาศกร้าวเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว โดยระบุกองทัพไนจีเรียเป็นฝ่ายมีชัยชนะในทางเทคนิคเหนือกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ “โบโก ฮารัม” แล้ว โดยยืนยันว่าทางกองทัพสามารถทำลายศักยภาพในการก่อเหตุรุนแรงของกลุ่มสุดโต่งที่เคลื่อนไหวอยู่ทางภาคเหนือของประเทศกลุ่มนี้ลงได้อย่างสำคัญ
ผู้นำดินแดนที่ได้ชื่อว่ามีประชากรอาศัยอยู่มากที่สุดของทวีปแอฟริกาเผยผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์บีบีซี โดยระบุการกวาดล้างอย่างหนักของกองทัพไนจีเรียตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ทำลายขีดความสามารถในการก่อเหตุโจมตีเต็มรูปแบบของกลุ่มโบโก ฮารัมลงได้อย่างสำคัญ จนกลุ่มติดอาวุธสุดโต่งกลุ่มนี้ต้องหันไปใช้เพียงการก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในระยะหลัง นั่นหมายความว่าทางการไนจีเรียเป็นฝ่ายที่มีชัยชนะในทางเทคนิคเหนือกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้แล้ว ถึงแม้จะยังไม่สามารถกำจัดกลุ่มโบโก ฮารัมได้อย่างสิ้นซากก็ตาม
ก่อนหน้านี้ อดีตนายพลชื่อดังอย่างบูฮารีที่สามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งผู้นำไนจีเรียได้เมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว ประกาศกำหนดเส้นตายให้ทางกองทัพขุดรากถอนโคนภัยคุกคามจากกลุ่มโบโก ฮารัมภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2015 และประกาศเดินหน้าสร้างงานและขยายโอกาสการศึกษาแก่บรรดาเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลแถบตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ หวังป้องกันมิให้เยาวชนในพื้นที่ถูกดึงเข้าร่วมกลุ่มติดอาวุธนี้ ที่มีจุดมุ่งหมายในการสถาปนาการปกครองแบบรัฐอิสลามสุดโต่งขึ้นในภาคเหนือของไนจีเรีย
ทั้งนี้ เหตุรุนแรงที่ก่อโดยกลุ่มโบโก ฮารัม ซึ่งดำเนินมานานกว่า 6 ปีนับตั้งแต่ปี 2009 ได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วไม่น้อยกว่า 20,000 ราย โดยในระยะหลังกลุ่มโบโก ฮารัมซึ่งต้องการสถาปนา “รัฐอิสลามสุดโต่ง” ขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือของไนจีเรียได้เริ่มข้ามเขตแดนไปก่อเหตุรุนแรงในประเทศไนเจอร์ แคเมอรูน และชาด ต่อเนื่อง ตลอดจนประกาศสวามิภักดิ์ต่อกลุ่มนักรบรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในซีเรีย และอิรัก ไปก่อนหน้านี้