เอเจนซีส์ / MGR online – ประธานาธิบดีอับเดล ฟัตตาห์ เอล-ซีซี แห่งอียิปต์ประกาศในวันจันทร์ (26 ก.ย.) จะเดินหน้าสร้างงานให้แก่พลเมืองทั่วแดนไอยคุปต์ หวังดึงดูดชาวอียิปต์ให้ปักหลักทำงานภายในประเทศต่อไป แทนการอพยพทางเรือข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มุ่งหน้าสู่แผ่นดินยุโรป
ท่าทีล่าสุดของผู้นำรัฐบาลแดนไอยคุปต์ซึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชนที่เมืองอเล็กซานเดรียทางภาคเหนือของประเทศ มีขึ้นภายหลังจากที่เกิดโศกนาฏกรรมเรือบรรทุกผู้อพยพกว่า 400 ชีวิตล่มกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยที่ในจำนวนนี้มีผู้อพยพที่เสียชีวิตอย่างน้อย 169 ราย
ที่ผ่านมา ปัญหาความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจและปัญหาปากท้อง รวมถึงปัญหาการว่างงานที่พุ่งสูงกลายเป็นปัจจัยเชิงลบ ที่บีบให้ชาวอียิปต์จำนวนไม่น้อยตัดสินใจหันหลังให้แก่ประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตน และเลือกจะเสี่ยงชีวิตเดินทางข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียน หวังมุ่งหน้าไปเริ่มต้น “ชีวิตใหม่ที่ดีกว่า”ในยุโป
ก่อนหน้านี้องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เผยข้อมูลสุดสลด ที่ระบุว่า มีผู้อพยพจำนวนมากกว่า 10,000 รายเสียชีวิตระหว่างพยายามเดินทาง ข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อมุ่งหน้าสู่ทวีปยุโรปนับตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา
โดยเอเดรียน เอ็ดเวิร์ดส์ โฆษกสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) เผยเรื่องดังกล่าว โดยระบุ ตัวเลขผู้เสียชีวิตระหว่างการเดินทางข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อมุ่งหน้าไปแสวงหาชีวิตใหม่ที่ดีกว่าในยุโรปยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงระยะเวลาหลายเดือนมานี้ ซึ่งนั่นหมายความว่า "สถิติใหม่ที่ไม่น่าพึงประสงค์" พร้อมเกิดขึ้นได้อีกในอนาคตอันใกล้นี้ และว่าถึงเวลาแล้วที่ประชาคมระหว่างประเทศ จะต้องเพิ่มความพยายามให้มากกว่าที่เป็นอยู่ในการหาข้อยุติต่อวิกฤตที่เลวร้ายนี้
โฆษกยูเอ็นเอชซีอาร์เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมามีผู้อพยพจำนวนมากกว่า 10,000 ราย เสียชีวิตระหว่างพยายามเดินทาง ข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อมุ่งหน้าสู่ทวีปยุโรป
แต่หากนับเฉพาะยอดความสูญเสียที่เกิดขึ้นในปี2016 นี้เพียงอย่างเดียวจะพบว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มีผู้อพยพเสียชีวิต ระหว่างการเดินทางข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมุ่งหน้าสู่ยุโรปแล้ว 2,814 ราย ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนี้ทางองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอพยพ (ไอโอเอ็ม) ระบุว่า มีจำนวนสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วราว 1,000 คน
แม้จะมีความพยายามอย่างแข็งขัน ในการสกัดกั้นการไหลบ่าของคลื่นผู้อพยพจากตะวันออกกลางสู่ยุโรปผ่านทางการทำข้อตกลง ระหว่างสหภาพยุโรป (อียู) กับรัฐบาลตุรกีเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเพื่อส่งกลับผู้อพยพจากกรีซ รวมถึงการพร้อมใจกันปิดพรมแดนของประเทศแถบคาบสมุทรบอลข่าน แต่ทางไอโอเอ็มเผยว่า ตัวเลขผู้อพยพรายใหม่ที่เดินทางถึงทวีปยุโรปในปีนี้ ยังคงมีจำนวนสูงถึงกว่า 206,400 ราย
ขณะเดียวกันมีการเปิดเผยว่า ยอดผู้อพยพลี้ภัยรายใหม่ที่เดินทางถึงเยอรมนีในเดือน พฤษภาคมที่ผ่านมามีจำนวน 16,281 ราย ถือเป็นตัวเลขที่แทบไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากเดือนเมษายน ทั้งนี้ เป็นการเปิดเผยข้อมูลล่าสุดของทางการเยอรมนี
ตัวเลขผู้อพยพลี้ภัยจำนวน 16,281 รายที่เดินทางถึงเยอรมนี ในเดือนพฤษภาคมปีนี้ มีผู้อพยพจากซีเรียรวมอยู่ด้วยมากที่สุด 2,685 ราย ตามมาด้วยผู้อพยพชาวอัฟกันจำนวน 2,289 ราย และชาวอิรัก 1,355 ราย
ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ถึงการชะลอตัวลงอย่างสำคัญของคลื่นการไหลบ่าของเหล่าผู้อพยพจากตะวันออกกลางเข้าสู่ยุโรป จากที่เคยมีจำนวนสูงถึง 200,000 รายเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และการชะลอตัวที่ว่านี้ ถือเป็นผลพวงโดยตรงจากการที่หลายประเทศในพื้นที่คาบสมุทรบอลข่านพร้อมใจดำเนินนโยบาย “ปิดพรมแดน” ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
นอกเหนือจากการปิดพรมแดนของรัฐแถบบอลข่านเพื่อสกัดกั้นการไหลบ่าของผู้อพยพ แล้ว การทำข้อตกลงระหว่างสหภาพยุโรป (อียู) กับรัฐบาลตุรกี ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ยอดผู้อพยพสู่ยุโรปลดจำนวนลงด้วยเช่นกัน
ตามข้อตกลงดังกล่าว รัฐบาลตุรกีเห็นชอบที่จะรับตัวผู้อพยพทางเรือที่เดินทางออกจากชายฝั่งของ ตุรกีไปยังหมู่เกาะต่างๆ ของกรีซ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกลับคืนไป แลกเปลี่ยนกับการรับ “ค่าตอบแทน” จากอียู ซึ่งอยู่ในรูปของเงินช่วยเหลือจำนวนหลายพันล้านยูโร และการเปิดให้พลเมืองตุรกีสามารถเดินทางท่องเที่ยวในประเทศสมาชิกอียูได้โดย ไม่จำเป็นต้องใช้ “วีซ่า”
ทั้งนี้ ตลอดทั้งปี 2015 เยอรมนีต้องเผชิญกับยอดการไหลเข้าประเทศของเหล่าผู้อพยพที่มีจำนวนสูงถึง 1.1 ล้านคน