ความพยายามยุติเหตุนองเลือดในซีเรียล้มเหลวไม่เป็นท่า เมื่อข้อตกหยุดยิงชั่วคราวที่สหรัฐฯ และรัสเซีย ได้ร่วมกันผลักดันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วถูกฝ่าฝืนอย่างร้ายแรง สมรภูมิรบสำคัญถูกถล่มทั้งทางบกและทางอากาศ ขณะที่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) มีคำสั่งระงับการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปยังชาวซีเรียที่ถูกปิดล้อมทันที หลังขบวนรถบรรเทาทุกข์ถูกโจมตีจนอาสาสมัครพลเรือนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
สหรัฐฯ กล่าวหารัสเซีย ว่า เป็นผู้ลงมือโจมตีขบวนรถบรรทุกของยูเอ็น ขณะที่ 3 วันก่อนหน้ามอสโกเพิ่งจะเป็นฝ่ายประณามกลุ่มพันธมิตรวอชิงตัน ว่า ทิ้งระเบิดถล่มฐานที่มั่นของทหารซีเรียจนล้มตายไปหลายสิบนาย
ข้อตกลงหยุดยิงซึ่งบังคับใช้ในวันที่ 12 ก.ย. มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดเส้นทางส่งความช่วยเหลือเข้าไปยังชุมชนซีเรียที่ถูกปิดล้อม แต่สัญญาณร้ายก็เริ่มปรากฏขึ้นเมื่อกลุ่มพันธมิตรสหรัฐฯ ส่งเครื่องบินไปโจมตีบริเวณที่มั่นของทหารซีเรียที่ต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ใกล้กับเมืองเดอีร์เอซซอร์ในวันเสาร์ (17) จนเป็นเหตุให้ทหารซีเรียล้มตายเกลื่อน และต่อมาในวันอาทิตย์ (18) เมืองอะเลปโป ซึ่งจัดเป็นเขตปลอดความรุนแรงตามข้อตกลงหยุดยิงก็ถูกถล่มเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์
รัฐบาลซีเรียกล่าวหาสหรัฐฯ ว่า จงใจทำลายข้อตกลงหยุดยิง โดยประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ได้กล่าวว่า การโจมตีที่ทำให้ทหารซีเรียเสียชีวิตหลายสิบนายนั้นเป็นการรุกรานอย่างโจ่งแจ้งของอเมริกา ขณะที่ บาชาร์ จาฟารี ผู้แทนซีเรียประจำองค์การสหประชาชาติ ชี้ว่า “การกระทำก้าวร้าวของสหรัฐฯ มีเป้าหมายเพื่อให้ข้อตกลงหยุดยิงนี้ล้มเหลว”
ข้อมูลจากศูนย์สังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรียซึ่งมีฐานในกรุงลอนดอน ระบุว่า มีทหารซีเรียเสียชีวิตอย่างน้อย 90 นาย จากการโจมตีทางอากาศบริเวณเนินเขาใกล้ ๆ เมืองเดอีร์เอซซอร์ ขณะที่มอสโกให้ตัวเลขไว้เพียง 62 นาย
กลุ่มพันธมิตรสหรัฐฯ ยอมรับว่า ได้ลงมือโจมตีที่มั่นของกองทัพซีเรียด้วยความผิดพลาดเมื่อวันเสาร์ (17) เนื่องจากคิดว่าเป็นฐานที่มั่นของไอเอส พร้อมยืนยันว่า กองกำลังพันธมิตร “ไม่มีทางโจมตีหน่วยทหารของซีเรียด้วยความจงใจ”
สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงถึงขีดสุด เมื่อขบวนรถบรรทุกอาหารและอุปกรณ์การแพทย์อย่างน้อย 18 คัน จากทั้งหมด 31 คันของยูเอ็นและสภาเสี้ยวเดือนแดงแห่งอาหรับซีเรีย (Syrian Arab Red Crescent : SARC) ถูกโจมตีโดยเครื่องบินรบไม่ทราบฝ่ายเมื่อวันจันทร์ (19) โดยขบวนรถดังกล่าวกำลังส่งความช่วยเหลือไปยังประชาชน 78,000 คน ในเมืองที่ยากต่อการเข้าถึงอย่าง โอรุม อัล-คูบรา ในจังหวัดอะเลปโป
เจนส์ แลร์เก โฆษกสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (Office for the Coordination of Humanitarian Affairs - OCHA) ยืนยันว่า “คู่ขัดแย้งทุกฝ่าย” ได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าว่าจะมีขบวนรถขนความช่วยเหลือเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว
รถบรรทุกและคลังสิ่งของของ SARC ถูกโจมตีเมื่อเวลา 20.15 น. ตามเวลาท้องถิ่น ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่กองทัพซีเรียได้ประกาศยกเลิกการหยุดยิง
ภาพถ่ายที่ SARC โพสต์ลงในทวิตเตอร์เผยให้เห็นขบวนรถบรรทุกที่ติดธงสัญลักษณ์สีฟ้าของกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ภายในรถมีข้าวของเครื่องใช้เพื่อสุขอนามัยและโภชนาการเพียงพอสำหรับประชาชน 50,000 คน อุปกรณ์ทางการแพทย์น้ำหนัก 9 ตัน ซึ่งรวมถึงยาปฏิชีวนะ และเครื่องมือผ่าตัด
แม้จะยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าเป็นฝีมือฝ่ายใด แต่เครื่องบินรบของรัสเซียและซีเรียตกอยู่ในข่ายต้องสงสัยมากที่สุด เนื่องจากฝ่ายกบฏและนักรบญิฮาดไม่มีศักยภาพพอที่จะลงมือโจมตีทางอากาศเช่นนี้
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ คนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีเมื่อวันอังคาร (20) ว่า วอชิงตันเชื่อแน่ว่า การโจมตีขบวนรถบรรทุกยูเอ็นเป็นฝีมือรัสเซีย เนื่องจากขณะนั้นมีเครื่องบินขับไล่ Su-24 ของแดนหมีขาว 2 ลำ ปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
เจ้าหน้าที่อเมริกันระบุด้วยว่า ต่อให้การโจมตีเป็นฝีมือกองทัพประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด รัสเซียก็ยังต้องมีส่วนรับผิดชอบ ในฐานะที่เป็นผู้สนับสนุนดามัสกัส และเป็นผู้ค้ำประกันการเจรจาหยุดยิง
รัสเซียและซีเรียต่างออกมาปฏิเสธความรับผิดชอบ โดยมอสโกนั้นได้ตอบโต้อย่างดุเดือดว่า วอชิงตัน “กล่าวหาอย่างเร่งรีบโดยไร้หลักฐาน” และสิ่งที่เกิดขึ้นก็ดูเหมือนเป็นการจัดฉากเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากความผิดพลาดของฝ่ายพันธมิตรสหรัฐฯ
กองทัพรัสเซีย ชี้ว่า จากคลิปวิดีโอที่นักเคลื่อนไหวถ่ายไว้ได้แสดงให้เห็นว่า ร่องรอยความเสียหายของรถบรรทุกนั้นไม่ได้เกิดจากการโจมตีทางอากาศหรือวัตถุระเบิดใด ๆ แต่น่าจะเป็นการถูกไฟไหม้ด้วยสาเหตุบางอย่างทางภาคพื้น
หลังมีคำชี้แจงจากรัสเซีย สภากาชาดก็ได้ปรับภาษาในถ้อยแถลงเสียใหม่ในวันอังคาร (20) จากเดิมที่ใช้คำว่าโจมตีทางอากาศ เหลือเพียงแค่คำว่า “โจมตี” โดยไม่ได้ระบุลักษณะที่ชัดเจนลงไป
ด้าน แลร์เก โฆษก OCHA ก็ระบุว่า “เราไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะสรุปว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการโจมตีทางอากาศหรือไม่ เราพูดได้เพียงว่าขบวนรถถูกโจมตี”
เครือข่ายกบฏกระแสหลักในซีเรียแสดงความมั่นใจว่า การโจมตีที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของอากาศยานซีเรีย หรือไม่ก็รัสเซีย โดยให้เหตุผลสนับสนุนว่า “ไม่มีเครื่องบินของฝ่ายอื่นอยู่ในพื้นที่นั้น”
ปีเตอร์ เมาเรอร์ ประธานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ เรียกร้องให้มีการสืบหาความจริงเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมครั้งนี้ “เนื่องจากเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง”
ล่าสุด OCHA ได้แถลงในวันพุธ (21) ว่า พร้อมที่จะส่งความช่วยเหลือไปยังประชาชนชาวซีเรียได้อีกครั้ง “เราได้เริ่มเตรียมสิ่งของบรรเทาทุกข์ และพร้อมจะเดินทางเข้าไปยังพื้นที่ซึ่งถูกปิดล้อม หรือเข้าถึงได้ยาก ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ความยากลำบากในการส่งความช่วยเหลือไปยังชาวซีเรียที่ถูกปิดล้อมนับเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งในสงครามกลางเมืองซึ่งยืดเยื้อมานานกว่า 5 ปี โดยทั้งสภากาชาดและยูเอ็นต่างเรียกร้องให้คู่ขัดแย้งทุกฝ่ายยอมเปิดทางให้ประชาชนในพื้นที่สามารถเข้าถึงสิ่งของที่จำเป็นต่อการยังชีพ
จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งได้ร่วมประชุมกับผู้แทนกลุ่มสนับสนุนซีเรียนานาชาติ (ISSG) 23 ประเทศ ยืนยันว่าความพยายามในการฟื้นข้อตกลงหยุดยิง “ยังไม่พังทลาย” พร้อมเรียกร้องให้รัสเซียและกองกำลังของ อัสซาด งดปฏิบัติการทางอากาศทั้งหมด เพื่อรื้อฟื้นโอกาสในการหยุดยิง