รอยเตอร์ - ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ในวันศุกร์ (23 ก.ย.) ใช้สิทธิ์วีโตร่างกฎหมายที่เปิดทางให้เหยื่อเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายแก่ซาอุดีอาระเบียได้ ความเคลื่อนไหวที่กระตุ้นให้สภาคองเกรสเคลื่อนไหวลบล้างอำนาจวีโตของผู้นำรายนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาเข้าสู่ทำเนียบขาว
โอบามา ระบุว่า ร่างกฎหมายเอาผิดต่อผู้สนับสนุนลัทธิก่อการร้าย (Justice Against Sponsor of Terrorism Act) จะกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ขณะที่ร่างกฎหมายฉบับนี้ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสเมื่อช่วงต้นเดือน เป็นการตอบสนองข้อสงสัยที่มีมาอย่างยาวนาน ว่า พวกที่จี้เครื่องบินของสายการบินสหรัฐฯ 4 ลำ ในการโจมตีอเมริกาในปี 2001 ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย
ประธานาธิบดี โอบามา บอกว่า ประเทศอื่น ๆ อาจใช้กฎหมายนี้เป็นข้ออ้างในการฟ้องร้องเหล่านักการทูต เจ้าหน้าที่ และบริษัทต่าง ๆ ของอเมริกา หรือแม้แต่องค์กรต่างประเทศที่รับความช่วยเหลือด้านการเงิน เครื่องไม้เครื่องมือ หรือการฝึกฝนจากสหรัฐฯ
“การถอดถอนเอกสิทธิ์คุ้มกันอำนาจธิปไตยของรัฐบาลต่างชาติที่ไม่ได้ถูกกำหนดในฐานะรัฐที่ให้การสนับสนุนก่อการร้ายในศาลสหรัฐฯ ควรอยู่บนพื้นฐานเดียว ก็คือ บนคำกล่าวหาที่ว่า รัฐบาลต่างชาติเหล่านั้นมีพฤติกรรมเชื่อมโยงกับภัยก่อการร้ายในแผ่นดินสหรัฐฯ กัดเซาะหลักปฏิบัติต่าง ๆ ที่พิทักษ์อเมริกามาอย่างยาวนาน เช่นเดียวกับกองกำลังและบุคลากรของเรา” โอบามา ระบุในถ้อยแถลง
ชัค ชูเมอร์ ส.ว.จากนิวยอร์ก ซึ่งสนับสนุนมาตรการนี้ แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในทันทีว่า โอบามา จะเผชิญกับความยากลำบากในการประคับประคองการวีโตของเขา
หากร่างกฎหมายฉบับนี้ได้รับเสียงสนับสนุนถึง 2 ใน 3 จากทั้งวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร ก็มากพอที่จะหักล้างอำนาจวีโตของโอบามา และกฎหมายฉบับนี้ก็จะยังคงอยู่ ซึ่งจะนับเป็นครั้งแรกที่ โอบามา ถูกลบล้างอำนาจวีโต ตั้งแต่ที่เขาก้าวสู่ทำเนียบขาวในปี 2009 ขณะที่ โอบามา จะหมดวาระในเดือนมกราคมปีหน้า
ชูเมอร์ ผู้นำหมายเลข 3 ของเดโมแครตในวุฒิสภา ออกถ้อยแถลงไม่นานนักหลังจากได้รับทราบเกี่ยวกับการใช้สิทธิ์วีโตของโอบามา โดยประกาศว่า มันจะถูกลบล้างอย่างรวดเร็วและโดยสิ้นเชิง
กลุ่มผู้รอดชีวิตของครอบครัวเหยื่อ กดดันสภาคองเกรสให้สนับสนุนกฎหมายนี้ และเรียกคำชี้แจงการวีโตของโอบามา ว่า “ไม่เชื่อมั่นและไม่ให้การสนับสนุน”
รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย และสหภาพยุโรป ต่างล็อบบี้อย่างหนักเพื่อหยุดกฎหมายนี้ ขณะที่เหล่าบริษัทรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่างเช่น เจเนอรัล อิเล็กทริก และ ดาวเคมิคอล ก็กดดันให้เหล่าสมาชิกสภาคองเกรสพิจารณาทบทวนใหม่เช่นกัน
“กฎหมายไม่สมดุล จัดตั้งแบบอย่างที่เป็นอันตราย และมีศักยภาพอย่างแท้จริงที่จะก่อความไร้เสถียรภาพแก่เศรษฐกิจโลก และความสัมพันธ์แบบทวิภาคีที่สำคัญ” เจฟฟรีย์ อิมเมลต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของจีเอ กล่าวในหนังสือที่ส่งถึง มิตช์ แม็คคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากวุฒิสภาที่สนับสนุนกฎหมายดังกล่าว