เอเจนซีส์ - ความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ของฟิลิปปินส์ กับ สหรัฐฯอภิมหาอำนาจผู้เป็นมหามิตร ยังไม่จบสิ้นลงง่ายๆ โดยผู้นำฝีปากกล้าแดนตากาล็อกประกาศจะไม่อนุญาตให้กองกำลังของรัฐบาลออกตรวจการณ์ร่วมกับต่างชาติในทะเลจีนใต้ ซึ่งเท่ากับเป็นการยกเลิกสัญญาที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ชุดที่แล้วทำกับวอชิงตันเมื่อต้นปีนี้ นอกจากนั้นเขายังสำทับว่ากำลังพิจารณาจัดซื้ออาวุธจากรัสเซียและจีน แทนอเมริกาและพันธมิตรตะวันตกอื่นๆ ขณะเดียวกันในอีกด้านหนึ่ง จีนบอกกับผู้แทนมะนิลาที่ไปเยือนปักกิ่งว่า ความสัมพันธ์สองประเทศมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ และหวังว่ามะนิลาจะยอมพบกันครึ่งทางเพื่อแก้ไขข้อพิพาทอย่างเหมาะสม
ประธานาธิบดีดูเตอร์เต กล่าวเมื่อวันอังคาร (13 ก.ย.) ว่าต้องการให้กองกำลังต่างๆ ของรัฐบาลฟิลิปปินส์ออกตรวจการณ์ทางทะเลเฉพาะน่านน้ำของประเทศ นั่นคือภายในอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลจากชายฝั่งเท่านั้น และเขาคัดค้านการไปตรวจการณ์ในทะเลจีนใต้ร่วมกับมหาอำนาจต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกาหรือจีน เนื่องจากไม่ต้องการให้ฟิลิปปินส์ถูกดึงเข้าสู่วังวนของการเป็นปฏิปักษ์
ดูเตอร์เตไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมใดๆ เช่นเดียวกับคำแถลงด้านความมั่นคงอื่นๆ ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม การปฏิเสธร่วมตรวจการณ์กับต่างชาติเช่นนี้ ดูเหมือนขัดแย้งอย่างชัดเจนกับข้อตกลงที่รัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์และอเมริการ่วมประกาศเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ครั้งนั้น แอช คาร์เตอร์ รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกาที่เดินทางเยือนมะนิลา เปิดเผยเป็นครั้งแรกระหว่างแถลงข่าวร่วมกับวอลแตร์ กาซมิน รัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์ในขณะนั้นว่า เรือของกองทัพเรืออเมริกันได้ร่วมตรวจการณ์กับเรือของกองกำลังฟิลิปปินส์ในทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก
คาร์เตอร์ยืนยันว่า วอชิงตันไม่มีเจตนายั่วยุ แต่ต้องการลดบรรยากาศตึงเครียดในน่านน้ำดังกล่าว ขณะที่กาซมินกลับบอกว่า คาดหวังว่า กองกำลังสหรัฐฯ จะช่วยยับยั้งการดำเนินการที่ไม่ได้ร้องขอจากจีนได้
นอกจากนั้น ดูเตอร์เตยังบอกในคราวนี้ด้วยว่า กำลังพิจารณาจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากรัสเซียและจีน จากเดิมที่มะนิลาสั่งซื้อจากอเมริกาและพันธมิตรตะวันตกชาติอื่นๆ
การแสดงความคิดเห็นเหล่านี้เป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของผู้นำฟิลิปปินส์ที่มีความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นนักกับสหรัฐฯ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังงพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์กับจีนเรื่องทะเลจีนใต้
วันจันทร์ที่ผ่านมา ดูเตอร์เตประกาศว่า ต้องการให้กองทหารอเมริกันออกไปจากภาคใต้ของฟิลิปปินส์ โดยระบุว่าอาจกลายเป็นชนวนการก่อความรุนแรงของชาวมุสลิมในท้องถิ่น สืบเนื่องจากกองทัพอเมริกันเคยดำเนินการปราบปรามนองเลือดในอาณาบริเวณแถบนี้เมื่อครั้งยึดครองฟิลิปปินส์เป็นอาณานิคม ทั้งนี้ถือเป็นการประกาศจุดยืนต่อต้านการประจำการของกองกำลังอเมริกันในบางส่วนของฟิลิปปินส์ครั้งแรก
ด้าน จอช เออร์เนสต์ โฆษกทำเนียบขาวแถลงว่า ยังไม่ได้รับการร้องขออย่างเป็นทางการเรื่องการย้ายทหารอเมริกันออกจากฟิลิปปินส์ แต่สำทับว่า ดูเตอร์เตมีแนวโน้ม “แสดงความคิดเห็นอย่างมีสีสัน” เช่นเดียวกับโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฟิลิปปินส์ออกโรงปกป้องความสัมพันธ์ฟิลิปปินส์-สหรัฐฯ โดยแก้ต่างว่า ดูเตอร์เตต้องการให้กองกำลังอเมริกันปลอดภัยจากการโจมตีของกลุ่มอิสลามิสต์สุดโต่งอย่าง “อาบูไซยาฟ”
กองทัพตากาล็อกยังออกแถลงการณ์ยืนยันว่า ความสัมพันธ์ด้านกลาโหมของฟิลิปปินส์และอเมริกายังคงแน่นแฟ้น และการซ้อมรบในปีนี้และปีหน้าจะเป็นไปตามกำหนด
ขณะเดียวกัน ที่กรุงปักกิ่งในวันพุธ (14) หลิว เจิ้นหมิน รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศจีน กล่าวกับผู้แทนจากคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ฟิลิปปินส์ที่เดินทางไปเยือนว่า ความสัมพันธ์ของสองประเทศตกต่ำสุดขีดด้วยเหตุผลที่ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ความสัมพันธ์ดำเนินมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหม่ และปักกิ่งหวังว่า มะนิลาจะยอมพบกันครึ่งทาง จัดการกรณีพิพาทอย่างเหมาะสม และผลักดันให้ความสัมพันธ์กลับคืนสู่ระดับปกติผ่านการหารือ การเจรจา และการร่วมมืออย่างเป็นมิตร
ก่อนหน้านี้ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อดีตประธานาธิบดีฟิเดล รามอส ซึ่งดูเตอร์เตแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนพิเศษของฟิลิปปินส์ กล่าวระหว่างเยือนฮ่องกงว่า มะนิลาต้องการเจรจาอย่างเป็นทางการกับปักกิ่งเพื่อปูทางสู่สันติภาพและความร่วมมือ
จีนนั้นอ้างสิทธิ์เหนือทะเลจีนใต้เกือบทั้งหมด ทำให้มีข้อพิพาทกับฟิลิปปินส์ บรูไน มาเลเซีย ไต้หวัน และเวียดนาม
เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลอนุญาโตตุลาการถาวรที่กรุงเฮกวินิจฉัยข้อร้องเรียนของฟิลิปปินส์ว่า คำกล่าวอ้างของจีนไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทว่า จีนไม่ยอมรับคำตัดสินดังกล่าว
นับจากนั้นสองประเทศก็พยายามผลักดันทางการทูตเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ โดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียงของจีน บอกดูเตอร์เตในช่วงการประชุมซัมมิตของอาเซียนที่กรุงเวียงจันทน์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เขาหวังว่า ความสัมพันธ์ของสองประเทศจะกลับคืนสู่ปกติ