เอเจนซีส์ - โดนัลด์ ทรัมป์ ยกเครื่องทีมหาเสียงครั้งที่สองในช่วงเวลาไม่ถึง 2 เดือน ครั้งนี้ว่าจ้างผู้บริหารเว็บไซต์ข่าวสายอนุรักษนิยมที่ตามขุดคุ้ยครอบครัวคลินตัน รวมทั้งนักกลยุทธ์ระดับแนวหน้าของรีพับลิกัน หวังฟื้นภาพลักษณ์นักสู้และกู้คะแนนนิยมที่ยังกู่ไม่กลับจากการกระทำของตัวเอง ด้าน ฮิลลารี คลินตัน เยาะเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์เปลี่ยนได้แค่ทีมงาน แต่พฤติกรรมจาบจ้วงหยาบคายยังเหมือนเดิม
วันพุธ (17) ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน ประกาศแต่งตั้ง สตีฟ แบนนอน ประธานเว็บไซต์ เบรตบาร์ต นิวส์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซึ่งเป็นตำแหน่งใหม่ในทีมหาเสียง รวมทั้งเลื่อนตำแหน่งเคลลีแอนน์ คอนเวย์ จากที่ปรึกษาอาวุโสเป็นผู้จัดการทีมหาเสียง
การปรับใหญ่ครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังระหว่างแบนนอน นักอนุรักษนิยม และประธานเว็บไซต์ต่อต้านคลินตัน กับคอนเวย์ นักวิเคราะห์ที่สุขุมลุ่มลึกและใช้ข้อมูลเป็นอาวุธ ซึ่งอาจช่วยให้ทรัมป์ทำคะแนนในกลุ่มผู้หญิงและผู้มีสิทธิออกเสียงที่ไม่โน้มเอียงพรรคการเมืองใด
นอกจากเป็นประธานเว็บข่าวขุดคุ้ยคลินตันแล้ว แบนนอนยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างและโปรโมตภาพยนตร์เรื่อง “คลินตัน แคช” ที่กล่าวหา บิล และ ฮิลลารี คลินตัน ให้สิทธิพิเศษกับผู้บริจาคเงินก้อนใหญ่เข้ามูลนิธิการกุศลคลินตัน ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นที่ทรัมป์หยิบมาโจมตีคลินตันระหว่างหาเสียง
คอรี ลีแวนโดว์สกี อดีตผู้จัดการทีมหาเสียงที่ช่วยให้ทรัมป์เอาชนะคู่แข่ง และได้รับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งวันที่ 8 พฤศจิกายน แสดงความเห็นว่า แบนนอนเป็นนักสู้ที่ก้าวร้าวและเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเช่นเดียวกับตน ขณะที่บทความหน้าการเมืองของบลูมเบิร์ก ระบุว่า แบนนอนเป็นนักปฏิบัติการการเมืองที่อันตรายที่สุดในอเมริกา
แต่สำหรับ ฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต ที่ตราหน้าทรัมป์ ว่า ขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ในการครองทำเนียบขาวนั้น วิจารณ์ว่า การปรับทีมหาเสียงขนานใหญ่ไม่ได้ทำให้ทรัมป์และการใช้ถ้อยคำสามหาวของเขาเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด
“โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงให้เราเห็นแล้วว่า ตัวตนเขาเป็นอย่างไร เขาสามารถจ้างและไล่ใครออกจากทีมหาเสียงก็ได้ คนเหล่านั้นอาจป้อนคำใหม่ ๆ ใส่เครื่องฉายข้อความให้เขาพูด แต่เขายังคงเป็นคนเดิมที่ดูแคลนครอบครัวทหารที่เสียชีวิตในสนามรบ ดูถูกผู้หญิง เย้ยหยันคนพิการ และคิดว่าตัวเองรู้เรื่องไอเอสดีกว่าบรรดานายพลของเรา” คลินตันประกาศกับผู้สนับสนุนในโอไฮโอ
ทั้งนี้ ตัวทรัมป์เองก็ประกาศโจ่งแจ้งว่า จะไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง
“ผมมุ่งมั่นทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ชัยชนะและได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ” นักธุรกิจจากนิวยอร์กประกาศเมื่อวันพุธ
.
.
.
กระนั้น การแต่งตั้งแบนนอน บ่งชี้ว่า แม้ทรัมป์ไม่มีแผนลดความก้าวร้าวดุดันลง แต่จะเน้นย้ำสาระสำคัญต่าง ๆ ที่สะท้อนความต้องการของผู้มีสิทธิออกเสียงที่เป็นกลุ่มเป้าหมายอย่างมีระบบระเบียบมากขึ้น เช่น จุดยืนต่อต้านการลักลอบเข้าเมือง และการโจมตีเรื่องส่วนตัวของคลินตัน
ขณะเดียวกัน แม้การยกเครื่องทีมหาเสียงในขณะที่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือน อาจไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก ทว่า นักกลยุทธ์บางคนในรีพับลิกันบอกว่า เรื่องนี้ไม่สายเกินไปสำหรับทรัมป์
อนึ่ง โพลล่าสุดจากรีล เคลียร์ โพลิติกส์ ระบุว่า คลินตันนำทรัมป์ 47.3% ต่อ 41.2% และผู้สมัครจากรีพับลิกันเป็นรองในทุกรัฐสำคัญ ทำให้มีแนวโน้มมากขึ้นที่อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งจะได้ชัยชนะถล่มทลายในวันที่ 8 พฤศจิกายน รวมทั้งยังอาจทำให้รีพับลิกันปราชัยย่อยยับในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา
คะแนนนิยมทรัมป์ไหลรูดนับจากที่เขาให้ร้ายพ่อแม่ทหารมุสลิม-อเมริกัน ที่เสียชีวิตในอิรัก สัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์ยังปลุกเร้าให้ผู้สนับสนุนสิทธิ์ในการครอบครองอาวุธปืนใช้ความรุนแรงเพื่อสกัดคลินตันจากเส้นทางสู่ทำเนียบขาว
ความก้าวร้าวของทรัมป์ทำให้สมาชิกสำคัญในพรรครีพับลิกันหลายคนประกาศจะไม่ลงคะแนนให้
การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ยังมีขึ้นหลังจากที่พอล มานาฟอร์ต ประธานกรรมการทีมหาเสียงของทรัมป์ กลายเป็นข่าวครึกโครมเมื่อต้นสัปดาห์ หลังจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทมส์ รายงานว่า ชื่อของเขาปรากฏอยู่ในบัญชีลับที่บ่งชี้ว่า มีการจ่ายเงินให้เขากว่า 12 ล้านดอลลาร์ จากพรรคการเมืองพรรคหนึ่งในยูเครนที่ใกล้ชิดกับรัสเซีย